ส่งท้ายปีเสือ ต้อนรับปีกระต่าย นอนชิลล์ที่ดอยวากะ

เป็นเรื่องปรกติของเรามากที่ทุกปีจะต้องมีทริปส่งท้ายปีไปเคาท์ดาวน์ที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ปีนี้ก็เป็นอีก 1 ปี ที่เราไปร่วมเคาท์ดาวน์กับแกงค์เพื่อนๆที่ดอยวากะ จังหวัดน่าน

ดอยวากะคือดอยของใคร แล้วอยู่ที่ไหนของจังหวัดน่าน หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าดอยวากะคือดอยอะไรทำไมไม่เคยได้ยิน จริงๆแล้วดอยวากะเป็นชื่อดอยที่พวกเราตั้งให้เอง ฮี่ๆ ด้วยความที่เป็นดอยส่วนตัวของคุณหนุ่มสามีของจีนที่พวกเราพากันเรียกติดปากว่า "วากะ" เราเลยตั้งชื่อดอยนี้ให้ว่าดอยวากะซะเลย เพราะฉะนั้นถ้าสมาชิกที่อ่านอยู่แล้วสนใจอยากไปพักอยากไปเที่ยวเนี่ย ก็จะหาไม่เจอนะคะเพราะที่นี่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าพักค่ะ 

ทริปนี้เริ่มวางแผนกันล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน โดยจีนกับหนุ่มล่วงหน้าออกเดินทางไปก่อนเรา ส่วนป้าผึ้งและเกด ออกเดินทางวันที่ 30 ธันวาคม  2553 ส่วนเราออกเดินทางวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เริ่มเดินทางออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพราะไม่อยากไปถึงที่ท่าวังผา จังหวัดน่าน มืดนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง จริงๆไม่น่าจะนานเท่านี้แต่เป็นเพราะมีช่วงที่กรมทางหลวงทำการซ่อมถนนตรงอำเภอเด่นชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ และเป็นทางเขาเลยทำให้รถติดบ้าง หลังจากนั้นก็สบาย ถึงน่าน แวะกิน M.K สักนิดอยากรู้ว่ามาตรฐานเดียวกับกรุงเทพฯมั้ย (จริงๆหิวและหาร้านอาหารไม่เจอ) หลังจากนั้นขับไปดอยวากะทันพระอาทิตย์ตกพอดี





  บนดอยวากะอากาศเย็นสบายมาก วิวที่ทอดยาวมองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างเห็นฝูงวัวที่ผู้เลี้ยงกำลังต้อนกลับบ้าน ก่อนที่แสงสุดท้ายจะค่อยๆหมดลงแล้วความหนาวเย็นก็เข้ามาแทน ค่ำคืนนี้เราปาร์ตี้กันด้วยหมูกระทะให้เข้ากับบรรยากาศเย็นๆ ก่อนที่จะร่ำลาปีเสือ ต้อนรับปีกระต่าย พวกเราก็ได้ปล่อยโคมลอยที่ชาวเหนือเชื่อว่ากันว่าปล่อยเคราะห์กรรมสิ่งที่ไม่ดีงามให้ลอยออกไปจากชีวิต ให้หมดไปพร้อมกับปีเสือและรอต้อนรับสิ่งดีๆที่จะเข้ามาในปีกระต่าย



ก่อนที่จะเข้าสู่ปีกระต่าย ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง พวกเราก็ไปนอนเล่นที่ลานดูดาวที่คุณพ่อของหนุ่มสร้างไว้สำหรับนอนดูดาวโดยเฉพาะปิดไฟให้มืดสนิท ดาวก็ลอยกันเต็มท้องฟ้านับกันไม่ถ้วนเลย หมู่ดาวน้อยใหญ่เรียงตัวกัน ให้พวกเราได้นอนนับกันเพลินเลยได้เวลานับถอยหลังต้อนรับปีกระต่ายกล่าวสวัสดีปีใหม่พร้อมคำอวยพรให้แก่กัน แล้วก็หลับฝันดี พร้อมรับวันใหม่ที่แสนสดใสอีกวัน



เช้าวันนี้เราวางแผนไปเที่ยวกันที่วัดหนองบัว อยู่ที่ตำบลป่าคา อ.ท่าวังผา วัดเก่าแก่แห่งนี้สันนิษฐานว่าาสร้างขึ้นใน พ.ศ.2405 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔)  ที่วัดนี้จะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงการดำเนินชีวิตในสมัยนั้น ภาพวาดเครื่องแต่งกายของหญิงสาวในสมัยนั่้น ภาพวาดที่นี่มีความงดงามมาก จีนเคยมาตอนก่อนน้ำท่วมที่นี่ ก่อนที่จะโดนน้ำท่วมภาพวาดเหล่านี้สวยงามกว่าปัจจุบันมาก หลังจากไหว้พระแล้วเราก้ไปช้อปปิ้งผ้าทอไทลื้อหลังวัดหนองบัวกัน



ออกจากวัดมาแรงยังเหลือ เราเลยขับรถไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติดอยภูคากัน อยากไปดูดอกชมพูภูคา จริงๆแล้วพอยท์ของการไปที่นี่คือเราชอบการขับรถระหว่างทางชอบนั่งมองถนน ความสุขมันอยู่ง่ายมากจริงๆ ขึ้นไปถึงที่ทำการอุทยานสอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องดอกชมพูภูคา ได้รู้ความจริงว่าดอกไม้จะบานช่วงเดือนกุมภาพันธ์แต่ก็ไม่ผิดหวังไปสักทีเดียวนักเพราะเราก็ได้ถ่ายรุปดอกกุหลาบพันปีมาแทน



เช้าอีกวันหลังจากที่แปรงฟันเรียบร้อย เราก็เห็นว่าที่ดอยวากะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่พ่อได้ทำเอาไว้ ที่ดอยนี้พ่อปลูกทั้งมะม่วง มะขาม ลำไย และลิ้นจี่ แบบปลอดสารพิษ พ่อกับแม่ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลงเลย ระหว่างทางเดินมีบึงเล็กๆ( ที่เราตั้งชื่อให้ว่า Waga Lake) เลี้ยงปลาเอาไว้ เดินเล่น 1 รอบก็เท่ากับได้ออกกำลังกายไปประมาณครึ่งชั่วโมงเลย เพราะทางเดินเป็นทางลาดชัน และพอจะเดินกลับก็เหมือนกับเดินขึ้นเขาเล็กๆ 1 ลูก



ทานอาหารเช้าเป็นข้าวต้มร้อนๆกันเสร็จแล้ววันนี้เราก็มีแพลนเดินทางท่องเที่ยวในเมืองน่าน ที่แรกที่เราแวะไปเที่ยวคือ "หอศิลป์ริมน่าน" เป็นหอแสดงงานศิลปะเอกชนขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน เป็นแหล่งที่รวมศิลปะและวัฒนธรรมจังหวัดน่าน เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวคนเลยค่อนข้างเยอะพอสมควรแต่ด้วยความเป็นสถานที่ชมงานศิลปะทุกคนเลยเสพย์อาร์ตกันแบบเงียบๆ โชคดีในทริปมีชาวศิลปากรถึง 3 คน ที่พอจะบอกเราได้บ้างว่าแต่ระภาพใช้สีอะไรส่วนความหมายก็ไปตีความกันเอาเองนะจ๊ะ



หลังจากนั้นขับรถเข้าตัวจังหวัดมุ่งสู่วัดพระธาตุแช่แห้งเพื่อสักการะพระธาตุประจำปีเถาะ(ปีกระต่าย) คราวนี้แหละที่เราได้รู้ว่าจังหวัดน่านฮิตจริงคนท่องเที่ยวเยอะมาก รถก็ต้องไปจอดไกลยิ่งภายในบริเวณพระธาตุคนเข้ามาสักการะเยอะจนแทบเดินวนไม่ไหว แต่ไหนๆก็ตั้งใจมาแล้วก็ต้องทำให้ครบไหว้พระขอพรเสร็จต้องรีบเดินออกมาด้านนอกเพื่อหาอากาศสบายๆอยู่



ขับรถเลยขึ้นไปทางกิ่งอำเภอภูเพียง เพื่อไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์วัดนาปังไม่ได้มีในแพลนตอนแรกคิดไรไม่ออกเลยเสิร์ชข้อมูลจากิอากู๋หาสถานที่ท่องเที่ยวเสิร์ชออกมาเห็นรูปสวยน่าสนใจ เลยตั้ง GPS มาที่นี่ แล้วก้ไม่ผิดหวังเพราะในแกงค์ชอบที่นี่มาก ไม่ว่าจะเป็นของเก่าที่อยู่ในอาคารพิพิธภัณฑ์ หรือว่าหอธรรมที่ก่อสร้างแบบมีใต้ถุนสูงโปร่ง ที่ดูจากการก่อสร้างแล้วมีอายุนับร้อยปี พวกเรายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าโบสถ์หลวงพ่อก็มาพาพวกเราเข้าไปด้านใน ภายในโบสถ์อากาศเย็นสบายผนังเพดานสวยมาก มีเรื่องเล่าของพระพุทธเจ้าตามฝาผนังด้วย



หลังจากกราบลาหลวงพ่อเสร็จก็ขับรถเข้าสู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเป็นอาคารทรงยุโรปไปถึงเกือบสี่โมงเย็นเกือบใกล้เวลาปิดแล้ว เราเลยรีบเข้าไปดูกันจ่ายค่าเข้าชมแล้วก็เข้าไปดูประวัติความเป็นมาของจังหวัดน่าน ของเก่า ศิลปะวัฒนธรรม การดำเนินชีวิตในอดีต จะถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ที่นี่
หลังจากนั้นก็ข้ามฝั่งไปไหว้พระที่วัดช้างค้ำวรวิหารชาวบ้านเรียกว่า "วัดหลวงกลางเมือง" ในอดีตผู้ครองนครใช้วัดนี้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา หลังจากนั้นก็ข้ามไปอีกฝั่งเพื่อไปวัดภูมินทร์เป็นวัดหลวงอีกหนึ่งวัด ภายในก็มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามมากเป็นชาดกในพุทธศาสนาและจะมีรายละเอียดของชีวิตคนสมัยนั้น เข้าไปในโบสถ์คนเยอะมากจริงๆเราเลยไม่ได้อยู่ด้านในนานนักแต่สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะกลับไปที่นี่อีก และคงไม่ไปช่วงหยุดยาวแบบนี้



จบทริปเมืองน่านที่แสนจะประทับใจด้วยความสุข สัญญาว่าจะกลับไปเที่ยวอีกครั้งก่อนที่น่านจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว 


 

 

Discussion (15)

เราก็อยู่จ.น่าน ค่ะ อิอิ
มาเที่ยวกันเยอะๆนะคะ ที่น่านมีสถานที่สวยๆเยอะเลยค่ะ

สวยจังค่ะ

อยากไปเที่ยวน่าน....
เย้ๆ เมืองน่านบ้านเรา ยินดีต้อนรับจ้า
 ถ่ายรูปสวยมาก ๆ เลยค่ะ