Special Treatment V.2 ว่าด้วยเรื่องของการแก้ไขปัญหารูปหน้า

กลับมาสู่่เวอร์ชั่น 2 ของ Special Treatment กันเวอร์ชั่นนี้จะะพูดถึงเรื่องการแก้ไขปัญหารูปหน้า เป็นเรื่องที่หลายๆคนกลุ้มใจอยากจะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ครั้นจะไปทำสัญกรรมแบบต้องมีการผ่าตัดเลยก็กลัว แต่สมัยนี้วิวัฒนาการก้าวหน้ามากสาวๆสามารถสวยได้โดยไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เข้าคลีนิคไป 1-2 ชั่วโมงก็เดินสวยออกมาแบบไม่ต้องพักฟื้น ทีมงานได้เข้ารับการทดลองมาให้สาวๆศึกษาดูเพื่อเก็บไว้เป็นทางเลือกกันค่ะ

Filler
เป็นการฉีดสารเติมเต็มผิวเข้าไปในผิวหนังบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ริ้วรอยร่องลึก หรือบริเวณแผลเป็นหลุม เพื่อเติมเต็มร่องหรือหลุมให้ตื้นขึ้น เหมือนทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น ดูอ่อนวัยเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นยังใช้ในการเติมเต็มริมฝีปากให้เอิบอิ่ม และปั้นแต่งรูปร่างของริมฝีปากได้
- บริเวณร่องแก้ม
- ริ้วรอยเล็ก ๆ รอบริมฝีปาก
- บริเวณรอยขมวดคิ้ว
- ร่องลึกที่หน้าผาก
- แผลเป็นหลุม
- ริมฝีปากทั้งบนและล่าง
- รอยตีนกา
- ใต้ตา

Filler คือสารเติมเต็มผิวตามธรรมชาตี่มีความปลอดภัยสูง ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบการแพ้ก่อนทำการรักษา Filler เป็นเจลคริสตัลผลิตจาก Hyaluronic Acid (HA) ด้วยกระบวนการ Minimal Stabilization ส่งผลให้ HA สามารถคงอยู่ใต้ผิวหนังได้ยาวนานขึ้น โดยมีคุณสมบัติเก็บกักน้ำให้ผิว และรักษาช่องว่างเซลล์ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติเมื่อมีอายุมากขึ้น HA ธรรมชาติที่อยู่ใต้ผิวหนังจะมีปริมาณที่ลดลงส่งผลให้เกิดริ้วรอย โครงสร้างใบหน้าแลดูหย่อยคล้อย ดังนั้นการเติมเต็ม Filler จะช่วยเพิ่มปริมาณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหน้ากลับมาเต่งตึง และสามารถเติมเต็มริ้วรอย ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติในทันทีด้วยความปลอดภัย
ริ้วรอยร่องลึกตื้นขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ เลือนหายไป รอยหลุมสิวเต็มหรือตื้นขึ้น ริมฝีปากเต็มอิ่ม เห็นผลการรักษาทันทีหลังทำเสร็จ และผลการรักษาอยู่ได้นาน 6 – 18 เดือน การฉีดทำโดยการใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ความเจ็บจึงมีไม่มากนัก แต่จำเป็นต้องทายาชาบนผิวก่อนทำการฉีด เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นขณะทำการรักษา แต่บางบริเวณอาจต้องใช้ยาชาฉีดร่วมด้วย เช่น บริเวณรอยร่องแก้ม ผลข้างเคียงของการฉีดที่พบได้คือ หลังฉีดเสร็จบริเวณที่ฉีดจะมีอาการบวมตึงหรือแดงเล็กน้อยประมาณ 1 – 2 วัน บางรายอาจคลำพบก้อนเล็ก ๆ บริเวณที่ฉีด แต่จะหายไปเองประมาณ 1 – 4 สัปดาห์ การฉีดสามารถกลับมาฉีดเพิ่มได้เรื่อย ๆ เมื่อผู้รับการรักษารู้ว่า Filler เดิมเริ่มลดลง Filler เป็นสารที่ใช้แล้วหมดไปไม่ตกค้างเป็นสารพิษในผิว ดังนั้นจึงฉีดเพิ่มเติมได้ตลอดเมื่อต้องการ
 
สารที่ใช้ฉีด : Hyaluronic Acid (HA) มีด้วยกันหลายยี่ห้อ ทั้งแบบที่ความหนาแน่นสูง กลาง ต่ำ ราคาก็แตกต่างกันไปด้วย ยิ่งแข็งมาก จะอยู่ได้นาน ราคาก็แพงด้วยเช่นกัน
เครื่องมือที่ใช้ :  1) เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ที่ฉีด ค่อนข้างสูง 2) Injection Pen (เครื่องช่วยในการฉีด) ช่วยให้การปล่อยตัวยาสม่ำเสมอ แต่อาจจะระบมกว่าใช้มือฉีด (จากการสอบถามคุณหมอ)
 
ผลข้างเคียงที่อาจเกิด : มีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน
การดูแลรักษาตัว : 1 สัปดาห์แรก ห้ามใส่แว่น ห้ามนวดหน้า หรือทำ treatment ต่างๆ ที่ใช้ความร้อนที่หน้าโดยตรง เช่น อบไอน้ำ ซาวน่า ดื่มน้ำให้มากๆ  จะช่วยยืดอายุ filler และจมูกจะโด่งสวยงามอยู่ได้นาน เพราะคุณสมบัติของ filler จะสามารถดูดโมเลกุลน้ำไว้ได้หลายพันเท่า
หลังจาก 1 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการทำทรีทเม้นต่างๆ ที่ทำให้ผิวหน้าโดนความร้อนโดยตรง
คำแนะนำ : แนะนำให้ทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น

การทดลองโดยทีมงานจีบัน
สถานที่ Yasashii Clinic (
http://www.yasashiijapan.com/)

 ทำการทดลองโดย ไผ่ไร้กอ

ขอเกริ่นก่อนว่าถ้าทุกๆคนจำหน้าเก่าของทรายได้ก็จะรู้ว่าทรายเนี่ยดั้งแหม่บแค่ไหน รูปจมูกสั้น บาน และแบน แสงและเงาเวลาถ่ายรูปต้องหามุมกันจนเพลีย เคยคิดอยู่หลายครั้งว่าอยากจะไปเสริมแบบถาวรแต่ด้วยความกลัวเลยทำให้ยังไม่ได้ไปทำเสียที ได้ยินเรื่องของ Filler มาเยอะแต่ก็ยังไม่มีโอกกาสได้ทำเสียที ศึกษาข้อมูลมาพอสมควรได้เข้าไปรึกษากับหมอแอร์ ที่ Yasashii คุณหมอพิจารณารูปหน้าเราทั้งหน้าพบว่ามีจุดบกพร่องเยอะมาก ที่เห็นเยอะที่สุดควรแก้ไขด่วนก็คือรูปจมูกที่แบนราบน้ำตาไหลผ่านได้แบบไม่มีเขื่อนกั้น


การฉีดครั้งที่1
ปรึกษาปัญหากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วคุณหมอก็ให้น้องผู้ช่วยมาทำความสะอาดบริเวณรูปจมูกเช็ดทำความสะอาด หลังจากนั้นทำการทายาชาบริเวณรูปจมูกทิ้งไว้ 45 นาที หลังจากนั้นห่อหุ้มบริเวณที่ทายาชาไว้ด้วยพลาสติกห่อหุ้มอาหาร



หลังจากครบ 45 นาที ยาชาทำงานอย่างเต็มที่แล้วคุณหมอก็เช็ดเอายาชาออก และเริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ด้วยเครื่องมือ Injection Pen จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการฉีดเครื่องมือนี้จะช่วยกำนดปริมาณฟิลเลอร์ได้ตามต้องการเพราะบางจุดอาจต้องใช้ปริมาณมาก บางจุดอาจต้องใช้ปริมาณน้อย ปริมาณฟิลเลอร์จะสม่ำเสมอควบคุมได้ตามความต้องการ คุณหมอค่อยๆเติมฟิลเลอร์ไปทีละจุดและค่อยๆปั้นไปด้วย เริ่มฉีดกันที่สันจมูก บริเวณนี้คุณหมอก็จะถามว่าเจ็บไหม แถวๆสันจมูกยังชิลล์ แต่พอมาถึงปลายจมูกเริ่มจะไม่ชิลล์แล้วเพราะบริเวณนี้จะมีเส้นประสาทเยอะมากแถวนี้น้ำตาเริ่มคลอ ฮ่าๆ คุณหมอปั้นไปก็จะเอากระจกมาให้เราส่องไปด้วยว่าเราพอใจหรือยัง




ท่าด๊า !!!  เสร็จแล้วเห็นกระจกครั้งแรกพอใจมากกก แอบไม่คุ้นหน้าตัวเองเล็กน้อย กลับบ้านไปจมูกบวมแดงแต่สามารถใช้คอนเซียเลอร์ปกปิดได้ ไม่มีอการปวดแต่อย่างใด

การฉีดครั้งที่ 2
ห่างจากครั้งแรก 1 สัปดาห์ หมอแอร์ตรวจดูความเรียบร้อยทายาชาแล้วก็ฉีดเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1cc ครั้งนี้ฉีดไปความรู้สึกเจ็บจะไม่เท่าครั้งแรก นอนชิลล์เลยปั้นไปคุยกันไป

 
ผ่านไป 1 เดือน พร้อมเปรียบเทียบ Before-After พอใจมากเพราะรูปจมูกโด่งเป็นธรรมชาติ สวยได้ดั่งใจต้องขอบคุณหมอแอร์ ณ Yasashii ด้วยนะคะ
 





 
 ทำการทดลองโดย กุ๊ดจัง

สถานที่ : Minerva Clinic (http://www.minervaskinclinic.com)
  
บรรยากาศสบายๆ สวยๆ ในคลินิค ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์อาทิตย์ คนไข้จะค่อนข้างเยอะมากทีเดียว แต่ ทีมงานจีบันไปบุกกันวันธรรมดา เลยมีแต่สาวๆ ชาวเรา ลั่นล๊ากัน



Before แบนม๊ากกก คุณหมอแนะนำว่า...ถ้าไม่กลัวเจ็บ กลัวผ่าตัด ควรหาโอกาสไปทำดั้งถาวร ก็จะสวยเลย แต่นะ..ก็กลัวอะ ขอลองสวยแบบไม่ต้องมีสิ่งแปลก



ครั้ง ที่ 1 : การฉีด filler ตามแนวสันจมูก ด้วยวิธีแบบ manual คือ ใช้เข็มฉีดยา และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฉีด ปริมาณยาที่ได้ ครั้งละ 1 cc  ยี่ห้อ PERLANE (กล่องสีน้ำเงินตามรูป) เริ่มจากการทายาชาบริเวณที่ฉีด ทิ้งไว้ ประมาณ ครึ่งชัวโมง ทาทิงเจอร์ เพื่อฆ่าเชื้อโรค และ ประคบน้ำแข็งก่อน-ระหว่างฉีดเป็นระยะๆ ระหว่างที่ฉีด ตอนเข็มจิ้ม ไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ แต่ตอนที่คุณหมอเดินตัวยาเข้าไป จะรู้สึกปวดๆ เล็กน้อย พอประมาณ บริเวณสันจมูก จะไม่เจ็บมาก แต่ ปลายจมูก และปีกจมูก ถึงขั้นน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว T-T (คุณหมอบอกว่าเป็นปรกติ เพราะ เป็นบริเวณที่เส้นประสาทเยอะ ปฎิกิริยาตอบสนองร่างกายเป็นแบบนี้ ปรกติ) ฉีดไป ปั้นไปให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ..สวยสั่งได้จริงๆ แตกต่างจากการวางยาสลบและใส่แท่งซิลิโคนจริงๆ มากกก เพราะ เราสามารถดูขั้นตอนการฉีด ปั้น จัดแต่งรูปทรงได้ตามความพอใจ




วันแรกที่ฉีด บวมเล็กน้อย ไปจนถึงน้อยมาก ดูไม่ผิดสังเกต มีรอยจุดเข็มฉีดยาบริเวณจมูกเล็กๆ แต่สามารถแต่งหน้ากลบได้ไม่ยาก



ครั้งที่ 2 :  เป็นการฉีดที่ห่างจากครั้งแรก ประมาณ 1 สัปดาห์ กลับไปให้คุณหมอตรวจดูความเรียบร้อย และอาจจะฉีดเพิ่มถ้าต้องการ คราวนี้เลยจัดเพิ่มไปอีก 1 หลอด กว่าๆ โดยคราวนี้ ลองไม่ใช้ยาชา ประคบเย็นเฉยๆ ปรากฎว่ากลับไม่รู้สึกปวดตอนคุณหมอเดินยาเข้าไปมากเท่าครั้งแรก เพราะตัวยาในครั้งที่ 2 ลงไปไม่ถึงเส้นประสาท (ลงไปทับของเดิม) เลยไม่เจ็บนั่นเอง ชีลๆ เลยทีนี้ ฉีดไป ปั้นไป กลับบ้านก็ไปปั้นๆ เองต่อนิดหน่อย 

การฉีดครั้งที่ 2 หน้าดูแปลกไป เพราะใช้ปริมาณ filler ค่อนข้างเยอะ ดั้งดูโด่ง และบวมกว่าครั้งแรก
 

 
สุดท้าย 1 เดือนผ่านไป เข้าที่พอดี ทะด๊า ถ่ายรูปมาบางมุม จมูกแหลมๆ โด่งๆ มองด้านข้าง ไม่เห็นตาดำอีกฝั่งนึงแล้ว ฮ่าๆๆ
  

 
 


Meso Therapy
หลายๆคนอาจเคยได้ยินชื่อมาบ้าง บางทีเรียก Mesofat  บ้าง อันที่จริง เป็นชื่อเรียก “วิธีการ”  อธิบายง่ายๆ คือ เป็นการเสริมความงามทางการแพทย์โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด เป็นเทคนิคการใช้ยาฉีด โดยการประยุกต์ใช้สารที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หลักการทำงานของ Mesotherapy คือ การฉีดสาร อาหารเข้าสู่ใต้ผิวโดยตรง ในปริมาณที่น้อย โดยการทำติดต่อกันหลายครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบการหมุนเวียนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบน้ำเหลือง และระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การทำงานของเซลล์ผิวบริเวณนั้นๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และวิธีนี้ยังสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของสรีระ และสัดส่วนของร่างกายเฉพาะที่
 
Mesotherapy เป็นวิธีการที่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่การฉีดลดสัดส่วนเกินของร่างกาย อย่างที่เราๆเข้าใจกัน แต่ยังเป็นวิธีที่ใช้กำจัดเซลล์ลูไลท์ การลดน้ำหนัก การรักษาผมร่วง และการทำให้ใบหน้าและลำคอที่สดใส กระชับและเต่งตึง โดยสารที่ฉีดเข้าไปก็จะแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการฉีด เช่น ถ้ารักษาผมร่วงด้วยวิธีนี้ แพทย์ก็จะฉีดวิตามินที่จำเป็นต่อการปลูกสร้างเซลล์ผมใหม่ เพื่อกระตุ้นระบบของร่างกาย ทำให้ผมขึ้นมาใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าฉีดเพื่อลดเซลลูไลท์ แพทย์ก็อาจจะฉีดสารสกัดจากถั่วเหลืองและวิตามินชนิดต่างๆ โดยสารเหล่านี้ จะปรับปรุงระบบการไหลเวียน ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น และละลายไขมันส่วนเกิน โดยปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เช่น อาจจะใช้ 0.2-0.5 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม.
 
สารที่ใช้ฉีด : สารที่ใช้จะแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นกับปัญหาและความต้องการของบุคคลนั้นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา ตัวอย่างสารที่ใช้ เช่น Meso filler,  Phosphatidylcholine, TA,  ,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ ซึ่งเป็นสารอาหาร และวิตามินต่างๆที่จำเป็นต่อผิว เป็นต้น
 
การฉีดด้วยมือ
แบ่งออกตามลักษณะการฉีดดังนี้
1.การฉีดสารลงบนผิวหนังประมาณ 2-4 จุด ภายในระยะเวลาเพียง 5 วินาที โดยแต่ละจุดที่ทำการฉีดจะมีระยะห่างกัน 2-4 เซนติเมตร โดยประมาณ การฉีดใน
ลักษณะนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1.การฉีดบนหนังกำพร้า
2.การฉีดใต้หนังกำพร้า ลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร
2.การฉีดเป็นขั้นตอน โดยการฉีดอย่างช้า ๆ ทีละจุด โดยอยู่ที่ความลีกประมาณ 3 มิลลิเมตร
3.การฉีดผ่านเครื่องมือซึ่งประกอบด้วยหัวเข็ม 3, 5 หรือ 7 หัว โดยสารที่ฉีดจะถูกส่งออกมาในปริมาณที่เท่ากัน และพร้อม ๆ กันในเวลาเดียว
การฉีดด้วยเครื่องยิง
ลักษณะการฉีดเช่นเดียวกับการฉีดด้วยมือ แต่สามารถควบคุมปริมาณของสารที่ฉีด ความลึก และจังหวะการฉีดที่มีความสม่ำเสมอกว่า
 
ผลข้างเคียงที่อาจเกิด : มีอาการบวมแดงเล็กน้อยได้เป็นปกติ ซึ่งจะหายไปในไม่เกิน 1 วันหลังทำการรักษา อาจมีรอยช้ำได้เล็กน้อย โดยเฉพาะในคนที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด น้ำมันตับปลา ไวตามินอี หรือ คนที่เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
การดูแลรักษาตัว : ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
คำแนะนำ : แนะนำให้ทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น
จุดเด่นของยาซาชี่: Meso filler เป็นสารที่ช่วยเพิ่มความชุมชื้นให้กับผิวหน้า (rehydration) ทำให้ผิวหน้าสดใส เต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งฉีดด้วยการใช้ Injection Pen ทำให้กำหนดปริมาณยาในการฉีดแต่ละครั้งได้แม่นยำขึ้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหลังการรักษา
 

 ทดลองโดย กุ๊ดจัง
สถานที่ : Yasashii Clinic ( http://www.yasashiijapan.com/)    สาขา เซ็นทรัลเวริล
เริ่มจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเลย ว่า ปัญหาที่เรากังวลนั้น ควรจะแก้ไขแนวทางไหน ต้องทำกี่ครั้ง อย่างไรบ้าง ผลข้างเคียงเป็นยังไง
หมอแอร์คนสวย หรือ พ.ญ. นวลนภา สันติไชยกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแห่งคลินิกเสริมความงามสไตล์ญี่ปุ่น Yasashiiได้ตอบข้อซักถามอย่างละเอียดดดมากกก น่าร๊ากกกก สรุปกันลงตัวว่า ควรกำจัดคางอู๊ด ไขมันส่วนเกินใต้คาง หรือ ที่เรียกว่า เหนียงนั่นเอง....T-T  ก็น่ะ มันมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น ประกอบกับเป็นคนหน้าบานอยู่แล้วด้วย พอนน.ขึ้นปุ๊บ ออกที่หน้าก่อนเลย ช่างอนาถยิ่งนัก แล้วถ้าจะให้ออกกำลังกายหรอ....อา อู อี โอ โอววโนววว เมื่อไหร่เหนียงจะลดไม่ทราบ งานนี้ต้องขอตัวช่วยด่วน!!!) เมื่อกำจัดไขมันส่วนนี้ออกไปได้แล้ว สิ่งที่เราคาดหวังคือ หน้าดูเรียว ได้สัดส่วน เห็นโครงหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น
ถามหมอมาฝาก
คำถาม 1 : ไขมันส่วนเกินที่ถูกสลายออก จะหายไปไหน
ตอบ สลายไปตามต่อมน้ำเหลือง และถูกขับออกจากร่างกาย ไปทางปัสสวะ อุจจาระ และอื่นๆ
คำถาม 2 : แล้วอย่างงี้ ต่อมน้ำเหลืองจะทำงานหนักไหม โดยส่วนตัวแล้ว ต่อมน้ำเหลืองที่คอ จะโตง่ายมาก เวลาไม่สบาย หรือร่างกายอ่อนแอ ต่อมน้ำเหลืองจะบวมก่อนชาวบ้านเลย (เป็นปัญหาส่วนบุคคลละอันนี้ คนอื่นไม่น่าจะเป็น) เคยไปฉีดคาร์บอกซี่ที่พุง หลายปีก่อน เข็ดเลยทีเดียว เพราะตอนนั้นต่อมน้ำเหลืองบวมมาก และปวดๆ กว่าจะหายก็หลายวัน คราวนี้ฉีดใต้คางซะด้วย ยิ่งใกล้ต่อมน้ำเหลืองที่คอกว่าพุงอีก
 
ตอบ  ทำงานหนักขึ้นกว่าปรกติ แต่ ไม่น่าเป็นห่วง เป็นกลไกกำจัดของเสียของร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว อาการบวมอาจพบได้บ้างแต่สุดท้าย จะหายไปเอง 


 
Before ดูดู๊..ช่างกล้าโชว์ อืดโคด 



 สำหรับที่ยาซาชี่ จะใช้ตัวยาเพียวๆ ไม่ผสมยาชา เนื่องจากมีผลการวิจัยออกมาว่า ยาชาจะทำให้ประสิทธิภาพในการสลายไขมันลดลง ดังนั้น งานนี้ พึ่งน้ำแข็งโปะอย่างเดียว เฮือกกก....เอาน่ะ เพื่อความสวย จุดขาวๆที่เห็นในรูปคือ จุดที่หมอ mark เอาไว้ ว่าจะฉีดในครั้งแรก (ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์)  การฉีดจะกระจายไปตามจุดต่างๆ บริเวณกราม เพราะไขมันพอกพูดหนาจนหาโครงหน้าไม่เจอ และเหนียง อีกเล็กน้อย อันนี้อยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์ ว่า จุดไหนไขมันเยอะ ควรฉีดก่อน-หลัง ใช้ปริมาณยาทั้งสิ้น 5 cc. ปล่อยยาครั้งละประมาณ 0.2 cc เพราะฉะนั้นก็.....คิดกันเองเอง ว่า โดนจิ้มทั้งหมดกี่ครั้ง พรุนเลยล่ะ เจ็บร้าวระบม แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้ เพื่อความสวยอะนะ...แค่นี้ ไม่ตายหรอก 




หลังจากฉีดแล้ว อาจจะมีการทำ RF ร่วมด้วย (ใช้อุปกรณ์ที่ปล่อยคลื่นความถี่สูง) เพื่อช่วยกระจายตัวยาให้ดีขึ้น และเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น



ผลข้างเคียง  : ตามที่หมอบอกคือ จะมีการบวมบริเวณที่ฉีด บวมมาก บวมน้อยแล้วแต่คน แต่ บวมแบบเห็นชัดแน่ๆๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงจะหายเป็นปรกติ
วันแรกที่ฉีด รู้สึกปวดๆ ตึงๆ จับแล้วเป็นก้อนๆ ไตๆแข็งๆ บริเวณที่ฉีด พร้อมอาการบวม ในแบบที่พอรับได้ เพราะหน้าบานอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยผิดสังเกตเท่าไหร่ -_-‘’   ถ้าคนหน้าเล็กๆ ผอมๆ เห็นชัดแน่นอน

1 วันหลังจากฉีด...ขึ้นอืดเลย โดยเฉพาะบริเวณกราม ควรงดออกสื่อชั่วคราว หรือ ถ้าจำเป็นจริงๆ แต่งหน้า ใช้ shading ก็ช่วยได้เยอะมาก



ครั้งที่ 2 ทำเหมือนเดิม...

Before ลดลงจิ๊ดนึง แทบมองไม่เห็นเพราะห่างกันแค่ 1 สัปดาห์ กว่าๆ



เริ่มจับไม่ค่อยติดละ ครั้งแรก หมอดึงเหนียงออกมาได้เยอะม๊ากกกก....ละลายตัวเอง

การฉีดครั้งที่ 2 ทำเหมือนครั้งแรก แต่เน้นบริเวณเหนียง ลงมาถึงคอ มากขึ้น ความบวมหลังจากฉีด น้อยกว่า เพราะฉีดด้านใต้คาง บริเวณแก้มนิดหน่อย ....แค่ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็หายเป็นปรกติแล้ว




 
1 วันหลังจากฉีด บวมน้อยกว่าครั้งแรกพอสมควร ปวดๆ ตึงๆ ข้างแก้มเหมือนอมลูกอมไว้ในปาก  แต่หน้าเริ่มได้รูปมากขึ้น โดยเฉพาะ ด้านข้างแก้ม
 



After หลังจากฉีด meso สลายคางอู๊ดแล้ว 1 เดือน (พร้อมกับฉีด filler ที่สันจมูกด้วย)
ต้องขอขอบคุณหมอแอร์คนสวย และ Yasashii ใจดีต่อผิว มา ณ ที่นี้ด้วยค่า ที่สละเวลา และแรง ให้พวกเราได้สัมภาษณ์ และมี content อันนี้เกิดขึ้นมา ขอบคุณค่า 



ที่มาข้อมูล

 http://www.yasashiijapan.com
http://www.thaicosderm.org/index.php
 
 


BOTOX
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Botox : สารสกัดจากโปรตีนธรรมชาติที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่าสามารถคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องศัลยกรรม สามารถใช้ฉีดเพื่อลดขนาดกราม ยกกระชับหน้าหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ลดริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว รวมถึงลดขนาดน่องให้ดูเล็กเรียวได้สัดส่วน
 
: ก่อนการฉีด Botoxห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือ แอสไพริน, วิตามินอี, Evening Primrose oil (EPO) ก่อนการฉีด Botox 1 สัปดาห์
การปฏิบัติตัวหลังฉีด Botox:
• หลังฉีด Botox ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมง
• ห้ามนวดบริเวณที่ฉีด Botox ใน 2 สัปดาห์แรกที่ฉีด เพราะอาจทำให้ยากระจายตัวไปที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นได้
ข้อควรระวังก่อนฉีด
• หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศร้อนจัด เช่น ซาวน่า สตีม ฯลฯ ใน 2 สัปดาห์แรกที่ฉีด เพราะอาจทำให้ยาเสื่อมฤทธิ์เร็วขึ้น
  
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์ของคลินิก http://www.sincerebeautyclinic.com

 ทำการทดลองโดย Supertarokung

สถานที่ทำการทดลอง Sincere Beauty Clinic  (http://www.sincerebeautyclinic.com/th.html )

ขั้นตอนการทำ:
1. ปรึกษาคุณหมอว่าจะฉีดตรงไหนบ้าง โดยคุณหมอจะให้เราฉีกยิ้มกว้างที่สุดและดูริ้วรอยที่ปรากฏ เพื่อกำหนดจุดและกะปริมาณยา ของเราคือปลายหางตาและใต้หางตา ข้างละ 3 จุด
2. ประคบน้ำแข็งเพื่อให้ชาบริเวณที่จะฉีด ถ้าใครกลัวเจ็บมาก ๆ สามารถขอให้ฉีดยาชาได้ (จะเจ็บสองต่อรึปล่าวนั่น) แต่ต้องรอประมาณ 30 นาที
3. ฉีดยาตรงจุดที่กำหนดไว้ ขั้นตอนนี้คงเป็นขั้นตอนที่น่ากลัวที่สุด แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่กลัวเข็ม ไม่กลัวการฉีดยา ก็เลยเฉย ๆ ถ้าใครเคยฉีดสิวมาก่อนแล้ว ขอบอกว่าฉีดสิวเจ็บกว่านะ เพราะโดนทั้งเข็มฉีดยาและโดนบดขยี้หัวสิวอีกต่างหาก หลังฉีดเสร็จตรงรอยเข็มฉีดยาจะปูดขึ้นมาเหมือนโดนยุงกัด แต่ไม่กี่นาทีก็จะยุบไปเอง ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น

 
 
ผลการทำลอง:
หลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 3-4 วันก็เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง ริ้วรอยใต้หางตาค่อย ๆ จางลง และหลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ ริ้วรอยใต้หางตาก็หายไปหมดเลย (แบบในภาพ After) แต่ส่วนปลายหางตากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ อาจเป็นเพราะปลายหางตาเป็นจุดที่ขยับเขยื้อนมากกว่า และคุณหมออาจจะฉีดยาในปริมาณที่น้อยเกินไป เนื่องจากก่อนฉีดได้คุยกับคุณหมอไว้ว่าขอแบบเป็นธรรมชาติที่สุด กลัวยิ้มแล้วตาแข็ง ๆ ซึ่งคุณหมอบอกว่าขึ้นอยู่กับปริมาณยาและจุดที่ฉีดด้วย
 
ช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ฉีด รู้สึกเลยว่ากล้ามเนื้อตรงปลายหางตามันไม่ทำงาน จะรู้สึกตึง ๆ นิดหน่อย จนกังวลว่าคนอื่นจะดูออกรึปล่าวว่าเราไปทำอะไรมา แต่ก็ไม่มีใครทักอะไร แปลว่ามันดูธรรมชาติดี ฤทธิ์ยาจะคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง และสามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ ซึ่งการฉีดครั้งหลัง ๆ ยาจะออกฤทธิ์ยาวนานขึ้นด้วย ส่วนตัวถือว่าพอใจมาก ๆ กับผลลัพธ์ที่ได้ มิน่า ใครต่อใครถึงบอกว่าทำ Botox แล้วจะติดใจ ^ ^


  

และตามด้วยบทสรุปประจำใจ ว่า
xxx ก่อนจะเชื่อ จะลองใช้ หรือซื้อตาม อยากให้ทุกคนโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ละเอียด


พิเศษ!!!! สำหรับสมาชิกจีบันสามารถปรินท์คูปองไปรับส่วนลดการใช้บริการต่างๆ ได้ที่ Beauty Offer จ้า~!

Discussion (34)

รบกวนถามผู้รู้หรือคุณหมอด้วยคะ ตอนนี้กลุ้มใจเครียดมาก เพราะไปฉีดfillerข้างแก้มกับคุณหมอที่คลินิกมีชื่อมากกก แห่งหนึ่ง แจ้งคุณหมอซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า หายทันวันศุกร์ไหม คุณหมอบอกสวยเลย ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตตามปกติ ปรากฎว่าตอนนี้เป็นรอยเขียวน่าเกลียดเหมือนหนวดทั้งสองข้าง โทรกลับไปถามคุณหมออีกว่าจะทำไงดี คุณหมอให้ไปเลเซอร์ลดรอยช้ำอีก แต่บอกว่า คงหายไม่ทัน เสียความรุ้สึกมากกคะ ไม่มีการดูแลคนไช้เลย จะขายคอร์สอย่างเดียว เป็นวันสำคัญในชีวิตด้วยคะ น้ำพึ่งไปฉีดมาเมื่อวันจันทร์ ใครช่วยแนะนำวิธีช่วยให้หายเร็วๆด้วยคะ **ขอบคุณคะ
 อยากฉีดบ้าง ตอนนี้ไม่มีดั้งเลย เเต่กลัวเจ็บT^T
หมอสวยๆ

กลัวเจ็บ

คุนหมอสวยมากคะ
อยากทรายว่า มีฉีดแก้ใต้ตาดำรึป่าวค่ะ สนใจ ต่ไม่่รู้ทำที่ไหน รบกวนแนะนำหน่อยค่ะ