มีน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ผลไม้ยี่ห้อไหน กลิ่นหวานๆมั่งคะ?

Gucci Envy Me

ไม่หอมให้เตะ 555

กลิ่นน้ำหอมที่หวานที่สุดเท่าที่เราเคยใช้มา คือ Juliet อ่ะค่ะ เราไม่เคยเจอยี่ห้อไหนกลิ่นแบบนี้เลยอ่ะ มันหวาน ไร้เดียงสามาก เหมือน Juliet  เด็กสาวที่ยอมตายเพื่อความรักเลยอ่ะค่ะ

รูปอ่ะค่ะ หาซื้อได้ตาม Loft นะคะ



Top: Strawberry, Blackberry, Citrus cocktail
Mid: Freesia, Jasmine, Apple, Sweet pea, Sweet Juliet Rose
Last: Musk, Dry amber, Sandalwood

วันไหนเราอยากให้บุคลิกเราซอฟท์ หวานลง แล้วก็เป็น ผญ มากขึ้นจะใช้กลิ่นนี้อ่ะค่ะ

พอดีว่าที่บ้านแพมเป็นโรงงานน้ำหอมค่ะ....แล้วตอนนี้แพมกำลังคิดจะผลิตแบรนด์น้ำหอมของตัวเองอยู่ พอดีแพมผสมน้ำหอมออกมาtestดู2กลิ่น เป็นกลิ่นหวานๆทั้งคู่ค่ะ กลิ่นแรกจะออกหวานแบบวัยรุ่นเด็กๆจะมีกลิ่นของผลไม้โดดขึ้นมา อีกอันกลิ่นนึงจะออกstyleผู้หญิงทำงานค่ะ จะเป็นกลิ่นหวานแบบดอกไม้ๆ......ถ้าสนใจจะลองส่งตัวอย่างไปให้ลองดมค่ะ....แต่ต้องบอกเลยว่าtesterไปแบบก้นขวดแน่นอน เพราะตอนแพมลองผสม...แพมทำทีละ20 cc ออกมาtestกลิ่นกับความคงที่ของกลิ่นมันก่อนอ่าค่ะ ว่ากลิ่นจะหอมและเข้ากันได้ทั้ง top nose, mid nose, และ base ^.^ ค่ะ

คุณภาพของน้ำหอมที่แพมจะผลิตจะอยู่ในระดับ Eau de Parfum ซึ่งจะมีค่าของหัวน้ำหอมอยู่ระหว่าง 10%-20% ของทั้งขวดค่ะ - แต่ละกลิ่นจะใช้ปริมาณไม่เท่ากันค่ะ เพราะน้ำหอมบางตัวกลิ่นจะค่อนข้างอ่อนแต่หอมยาวทั้งวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วกลิ่นประเภทนี้จะเป็นกลิ่นที่เรียกกันว่าเบสค่ะ

 

เท่าที่แพมรู้ตอนนี้จะมีระดับอยู่7ระดับ ของมาตรฐานการผลิต เรียงจากอันดับสูงสุดคือ

Perfume extract = 15-40% (หัวน้ำหอมที่ใช้ในการผสมเพื่อผลิตน้ำหอมตัวใหม่ค่ะ) อีกประมาณ60%ที่เหลือจะเป็นส่วนผสมของสารต่างๆที่ทำให้กลิ่นคงที่ค่ะ ^^.
Esprit de Parfum =15-30%  (ปริมาณโดยทั่วไปที่วางขายจะอยู่สูงสุดที่ประมาณ +/-20% ของส่วนผสมทั้งขวด)
Eau de Parfum หรือ millésime = 10-20% (ปริมาณโดยทั่วไปที่วางขายจะอยู่สูงสุดที่ประมาณ +/- 15%)
Eau de Toilette = 5-15% (ปริมาณโดยทั่วไปที่วางขายจะอยู่สูงสุดที่ประมาณ +/-10%)
Eau de Cologne = 3-8% (ปริมาณโดยทั่วไปที่วางขายจะอยู่สูงสุดที่ประมาณ +/-5%)
Perfume mist =3-8％  (ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนผสมของAlcoholค่ะ)
Splash and After shave = 1-3% (ปริมาณโดยทั่วไปที่วางขายจะอยู่สูงสุดที่ประมาณ +/-2%)
 

แต่คงอีกนานมากกว่าจะออกได้ตลาดจริงๆ เพราะต้นทุนสูงมากๆๆๆๆ.....เพราะทั้ง2กลิ่นใช้หัวน้ำหอมมากกว่า5ชนิดเลยทั้งคู่(มีตัวใช้หัวน้ำหมอตั้ง8กลิ่น TT^TT)....แล้ว หัวน้ำหอมที่ใช้ทำเป็นของฝรั่งเศษราคามันแพงมาก เกินทรัพย์แพมไปหลายเท่า....เลยคงจะต้องเก็บตังค์อีกนานนนนนนๆ

ถ้าอยากลองดมจะส่งไปให้นะคะ ^^

dior ค่ะ

ขอบคุณค่ะ ^^