--

--

Discussion (22)

ผมก็เพิ่งเลิกกับแฟนที่เพิ่งแต่งงานกันมา เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี ซึ่งเข้าใจนะว่าบริษัทพวกนี้จะเอาความร่ำรวยมาเป็นตัวล่อ เหมือนเป็นลัทธิครอบงำคนให้เกิดกิเลส พวกบริษัทเหล่านี้หากินกับคนไทยได้ก็เพราะคนไทยมีความโลภ ถ้าคนไทยมีความพอเพียง บริษัทพวกนี้ก็จะอยู่ไม่ได้ พวกเราก็จะมีความสุข เมื่อนำมาเทียบกับพุทธศาสนาแล้ว เอมสตาร์นี่ อยู่ในนรกเลย ทำคนให้เกิดกิเลสเพื่อหาผลประโยชน์ ทำให้คนอื่นเสียคนที่รัก ลืมบอกไป ผมมีลูกกำลังเด็กอยู่แต่ หลังจากที่เค้าทำเอ็มสตาร์เค้าเปลี่ยนไปมาก จากก่อนหน้านี้รักกันดี เค้ามีความอยากได้ อยากรวย หวังว่าสักวันเค้าคงคิดได้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ใช่มาจากเงินทอง ผมลองค้นหาข้อมูลเรื่องธุรกิจ เอมสตาร์มา พบว่าถ้าใครหลวมตัวเข้าไปทำแล้ว เลิกกับแฟนกันเยอะเลยถ้าแฟนไม่เข้าไปทำด้วย สุดท้ายแล้วบริษัทนี้จะอยู่ได้ก็ต้องทำนาบนหลังคนแบบนี้แหละ เพราะผมก็เป็นนักธุรกิจคนนึง สามารถวิเคราะห์ได้ว่า รายได้ของบริษัทนี้มาได้อย่างไร ซึ่งของที่นี่ก็มาจากการขายสินค้าที่ราคาแพงเพื่อนำกำไรมาแบ่งกัน แต่สินค้าไม่ได้ว่าดีอะไรเลย มีแค่อย่างเดียวที่พอใช้ได้ก็คือน้ำมันรำข้าว นอกนั้นห่วยมาก ดังนั้นหากสินค้าราคาแพงแล้วไม่มีคนซื้อ จะเอากำไรมาแบ่งให้คนที่เป็นสมาชิกได้อย่างไร ดังนั้นธุรกิจแบบนี้ใครทำก็เป็นบาป เนื่องจากทำนาบนหลังคน โดยบริษัทก็จะบอกว่า ทำได้ไม่ยาก มีบ้าน มีรถ มีเงินทอง ต้องบอกว่าถ้าทำจริงๆ ทำได้นะ แต่ต้องหลอกคนอื่นให้มาเป็นสมาชิกและซื้อสินค้าไปกี่บาท คำนวณคร่าว เราต้องหาเงินให้กับบริษัท 100 ล้านบาท เราถึงจะได้สัก 1-2 แสนบาท นี่แค่คนเดียวนะ แล้วคนเป็นสมาชิกกี่คนลองไปคำนวณดู
กำลังทะเลาะเหมือนกัน เพราะแฟนเรียนโทอยู่ ไม่อยากให้ธุรกิจนี่ต้องมาเป็นอุปสรรค เราเป็นห่วงนะ แต่ก็พูดไม่เป็นเขาโมโห เราก็โกรธ

อย่าซีเรียส เราเองก็ทำอยู่แต่เราไม่ได้ทำของเอมสตาร์ เราทำของยูนิซิตี้  ซึ่งตอนแรกเรามีทุกบริษัทมาชวนไปทำ แต่ก็ไม่เคยมีบริษัทไหนได้รายชื่อเราไปเลย เพราะเราไม่ปิ้งในหลายๆเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้น มันดูเป็นไปไม่ได้ เราปิดตัวเองมาตลอด แฟนเก่าก็เคยทำแอมเวย์ เราก็ ยอมให้เค้าเอาชื่อไปสมัคร แต่ก็ไปไม่รอด เราไม่ได้รักเค้านี่นา และเมื่อต้นปีมีรุ่นพี่ที่บริษัทมาชวนทำเอมสตาร์ เอ่อ ก็ฟังดูดีนะ แต่รายได้เจ็ดช่องทางเอามาทำไม เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร ซักหน่อย เพราะเฉพาะเงินเดือนเรากับคุณแฟนรวมกันก็เกือบๆสี่หมื่นบาท ก็ไม่ค่อยจำเป็น แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้ เราเป็นเซลล์ขายเครื่องมือในห้องแลบ แฟนเราเป็นผจก  แต่พอเมื่อสองเดือนที่แล้ว แฟนเรามาพูดให้ฟัง เราเองก็ชอบเกี่ยวกับความสวยความงามอยู่แล้ว พอแฟนมาพูดให้ฟัง เราก็ลองไปดู ด้วยเหตุผลว่า ฉันอยากสวย จริงๆนะ  และพอได้สัมผัสกับคำว่า สินค้า บอกได้คำเดียวว่า มันสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราไปเลย จากคนที่พูดเป็นพูดเก่งอยู่แล้ว พอไปเข้าสัมนาไปเข้าฟังแผน รู้สึกว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจแห่งการให้ คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จได้จะต้องมีความอดทน และต้องยอมแลก เรายอมนะ เราทำงานเซลล์ก็เหนื่อยอยู่แล้ว แต่ทุกวันพุธตอนเย็น พฤหัสเย็น และวันอาทิตย์เราก็พาตัวเองเข้าระบบ
ฝึกฝนตัวเองประจำ และที่เราอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ว่า แฟนเรารักเรามาก สนับสนุนทุกอย่าง ทั้งเงินทุน และทำงานบ้านแทนเราตอนที่เราไปอบรม เราทำแบบนี้ จนแฟน แฟนเราเป็นทอม เป็นทอมที่ดูดีอยู่แล้ว แต่พอมาล้างลำใส้มาทานผลิตภัณท์ เค้าก็กลายเป็นคนใหม่ หน้าใสขึ้น ผิวมีออร่าและช่วยทำด้วยกันกับเรา ในบางครั้ง เราสองคนแทบจะไม่มีเวลาให้กัน แต่เค้าหรือเราคบกันแบบผู้ใหญ่ ถึงแม้ไม่มีเวลา แต่เราก็ยังมีด้ายแดงที่ผูกติดกันไว้ ไม่เคยงี่เง่าเรื่องไม่มีเวลา ธุรกิจของเราเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆเพราะเราไม่เคยยัดเยียด เราจะทานผลิตภัณทื และให้ผู้คนเข้ามาถามว่าไปทำอะไรมาถึงผอมลง สวยขึ้น เท่านี้แหละ แนะนำไปเรื่อยๆเราก็ได้บุญคือพวกลูกค้าเราก็จะสวยขึ้นๆๆๆที่จะถูกสามีทิ้งสามีก็กลับมารัก คนที่ไม่เคยพอใจในผิวพรรณตัวเองก็หันกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น ธุรกิจเครือข่ายเป็นเหมือนเหรียญ หนึ่งเหรียญ คนที่มองเห็นโอกาสเท่านั้น ที่จะสามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างเข้าใจและไม่เบียดเบียนใคร เพราะคงไม่มีงานประจำที่ไหนจ้างให้คุณรวย แต่ทีนี้เราเลือกเฉพาะคนที่สวย สวยทั้งหน้าตา และหัวใจ หัวใจที่ปราถนาให้ผู้คนทั่วไปมีสุขภาพ แข็งแรงและดูดี  เท่านั้นเอง

ชีวิตคู่ คำว่าคู่คือ 2 คน ถูกไหมครับ ลองเปิดใจ เคารพการตัดสิน และเป็นกำลังใจให้กันดีกว่า ผมว่าแฟนคุณก็คิดดี เพราะงานขายเป็นงานที่รวยที่สุดนะครับ ถ้าคุณทำแบบนั้นไม่ได้ อย่าทรมานตัวเองเลยดีกว่า อยู่คนเดียวสบายใจกว่าเยอะ
เราก็เคยมีปัญหากับแฟนเก่าเรื่องนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้ เค้าก็ไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่ายอะไรเลย สักพักน้องชายเค้าได้เข้าไปทำธุรกิจนี้ โดยเค้าก็มาบอกให้ฟังว่า น้องเค้าทำอยู่ เป็นแบบนี้ๆ เราก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ซักพักเค้าก็มาบอกเราว่า เค้าตัดสินใจที่จะทำธุรกิจนี้ ศึกษาธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพราะเค้าเห็นน้องชายเค้าเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ดูเป็นดี รักครอบครัวมากขึ้น พูดจาสุภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกตะหงิดใจเล็กๆว่า การจะพูดจาดี ทำตัวดี เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี มันน่าจะเกิดจากตัวเราอยากที่จะเปลี่ยนไม่ใช่หรือ และถ้าจะเปลี่ยนมันจะยากตรงไหน แต่หากเปลี่ยนเพราะเพื่อที่จะเข้าหาคนอื่น แสวงหาผลกำไรล่ะไม่ว่า (นั้นคือสิ่งที่เราคิดตอนนั้น) และเค้าก็ชวนเราทำค่ะ เราเ้ข้าเซ็นเตอร์ไปฟังตามเค้า เพราะด้วยความรู้าสึกที่ว่า พยายามเปิดใจ ไม่อยากให้ใครมาว่า่ ว่าเราใจแคบ ไม่มองโลกให้กว้าง แต่เมื่อไปแล้วกลับรู้สึกว่า มันไม่ใช่แนวทางของเราเลย และการบรรยายรอบนั้นก็้องเสียตัง อีกต่างหาก ซึ่งไหนว่าบรรยายฟรี เราเลยรู้สึกว่า มันแปลกๆ และตลอดระยะเวลาในการฟังก็มีแต่คนมาพูด ประสบความสำเร็จๆๆ รวยๆๆ ตลอดเวลา มันดูจูงใจมากจนเกินไป มากจนเรารู้สึกโอเว่อ สุดท้ายเราเฟดตัวเองออกมา แต่แฟนเรายังทำอยู่ แต่ก่อนเราเจอกะแฟนเราบ่อย แต่พอเค้าเริ่มทำ เราก็ไม่ได้เจอเค้าแบบเดิม แถมเค้าอยู่ต่างจังหวัด บางทีมากรุงเทพแต่ไม่ได้มาหาเราก็มี สุดท้ายการคุยโทรศัพท์ก็น้อยลง เพราะเค้าต้องเข้าเซ็นเตอร์ อบรม ฟังบรรยาย กลายเป็ฯเรายิ่งรู้สึกแย่กับงานที่เค้าทำมากยิ่งขึ้น เพราะมันทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่หายไป พยายามคุยกันหลายรอบ แก้ไข ปรับปรุงตัวกันหลายรอบ เราอาจดูเห็นแก่ตัว แต่เราก็แค่อยากได้เวลาที่เราเคยได้ อาจไม่ต้องนาน แต่ก็ไม่ใช่หายไปเลย สุดท้ายเรามีกิ๊กค่ะ เราผิด เรารู้ แต่สิ่งที่เราไม่คาดคิดคือ เค้าก็มีกิ๊กเหมือนกันค่ะ อยู่ในวงธุรกิจแบบเครือข่ายนี่แหละ อาจะเป็ฯเพราะเค้าคุยกันง่าย เข้าใจกันง่าย ทำงานร่วมกัน การมุ่งมั่นมากมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงเหมือนกัน เราว่ามันคงแปลกถ้าต้องบอกว่า เลิกกันเพราะธุรกิจเครือข่าย แต่ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้จริงๆล่ะค่ะ สู้ๆนะคะ เป็ฯกำลังใจให้ค่ะ ถามว่าเสียใจไหม ไม่เคยเสียใจเลย แต่ดีใจมากกว่าที่ได้เลิกกะ