ขอพื้นที่เล็กๆส่วนนี้ แบ่งปันความภาคภูมิใจหน่อยนะคะ Hello USA !!
seasonmai110Hello USA!
ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีวันนี้กับเขาจริงๆ ที่เราได้เดินทางมาแลกเปลี่ยน ที่ USA นี่
จริงๆแล้ว เราไม่ได้มีความคิดที่อยากจะมาเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะทำเพื่อพ่อแม่
มันดูเป็นอะไรที่ดูยากมาก ต้องมาใช้ชีวิตตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีคนไทย(สภาพแวดล้อมนี้)
แต่แล้วก็มาจนได้ ในวันที่เดินทาง เรียกง่ายๆว่าใจหายมาก ไม่ได้มีความตื่นเต้นแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ตื่นเต้นที่จะมาเลย มีแต่เพื่อนๆที่ตื่นเต้นกัน อยากจะมากันมาก
ในวันเดินทางนั้นเราเดินทางวันที่ 15 สิงหาคม 2554 เวลา 6 โมงเช้า แต่ก่อนหน้านั้น
ประมาน 6 ชม. จะเรียกว่าอกหักดีมั้ยนะ ไม่น่าจะใช่หรอก เรียกว่าจากกันด้วยดี(แต่เจ็บสุดๆไปเลย)
ส่งข้อความไปบอกลาเขาคนนั้น แล้วเขาก็ส่งกลับมา…
ก่อนเดินทาง แทบจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำไป
แล้วต้องไปสนามบินสุวรรณภูมิประมานตี 3 ครึ่ง สภาพจิตใจตอนนั้นเรียกได้ว่าแย่มากๆ
ต้องแกล้งทำเป็นไม่มีอะไร สบายดี ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ เดี๋ยวเขาจะไม่สบายใจ แกล้งทำเป็นเข้มแข็ง
ทั้งๆที่จิตใจมันไม่มั่นเลยสักนิด มันไม่ง่ายเลย แล้วเรายังต้องเดินทางไปในที่ๆใหม่
ที่เราอยู่ตัวคนเดียวอีก แต่อย่างน้อยก็มีเวลาอยู่กับพ่อแม่กับอีก 1 ชม. (ปลอบใจตัวเอง)
แต่เวลายังไงมันก็ต้องมาถึง แถมมันยังเดินเร็วเสียด้วย
ประมานตี 5 ก็ต้องเข้าไปข้างในแล้ว
ตอนนั้น วินาทีนั้น บอกตรงๆว่าพยายามยิ้อสุดๆ สุดชีวิต
ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมา เรียกง่ายๆเลยล่ะว่า เราเป็นคุณหนูมาก
พ่อแม่หาสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ อยากได้อะไรก็ได้เสมอ มีหน้ามีตาในสังคม ไม่เคยน้อยหน้าเพื่อน
ออกจะมากกว่าเพื่อนไปด้วยซ้ำ ชีวิตนี้มีแต่คนปกป้อง
ไม่เคยต้องเจอ หรือตัดสินใจอะไรสำคัญด้วยตัวเอง ผ้าไม่เคยต้องซักเอง
ที่นอนไม่เก็บ ตื่นมาก็เล่นแต่่คอม ไม่ทำงานทำการ อาหารตื่นมาก็มีคนทำไว้ให้ (นิสัยแย่มากเลยเนอะ)
จนวันนี้ที่เราต้องไปเจออะไรที่แตกต่างจากชีวิตที่สุดแสนจะสบาย
เวลานั้น อยากถามพ่อแม่ว่า “หนูไม่ไปได้มั้ย” แต่มันพูดไม่ออกหรอกค่ะ
เมื่อเห็นหน้าตาของพ่อแม่ ที่เขาอุตส่าส่งเสียให้เราได้ไป
และความคาดหวังที่เขามีให้ กับความคาดหวังของเราเองที่จะไม่ทำให้เขาเสียใจ
ตอนนั้นมีเพื่อนอีก 2 คน ที่จะไปไฟล์บินเดียวกันกับเรา
ตอนแรกคิดว่าเพื่อนจะร้องไห้ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครร้องเลย
มีแต่เรา ที่พอมันจะไปกั้นเอาไว้ไม่อยู่เลย มันไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
ยิ่งพอต้อนที่แม่กอดไว้แน่น ความรู้สึกมันอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
หนูยังอยากให้แม่ปกป้อง ยังอยากเป็นเด็กในอ้อมอกแม่ ที่ไม่ต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกคนเดียว
เพิ่งเสียใจในเรื่องหัวใจมา ยังอยากอยู่ให้แม่อยู่ข้างๆปลอบใจ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถบอกให้แม่รู้ได้
ว่ามันเป็นเรื่องความรัก แต่อย่างน้อย มันก็อุ่นใจกว่ากันเยอะ
ตอนนั้นจำได้ว่าแม่นว่าแม่กอดแน่นมาก แน่นที่สุดในชีวิตที่เคยได้กอดแม่
ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าแม่คนที่เราเห็นว่าเขาเข้มแข็งให้ลูกเห็นมาตลอด เขาจะร้องไห้ในวันนั้น
ส่วนพ่อ คนที่ไม่ได้กอดอีกเลย ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
(เป็นเพราะว่า ลูกเริ่มจะโตเป็นสาวแล้ว เขาเลยไม่กล้ากอด) ก็เป็นครั้งแรก ที่ได้กอดพ่ออีกครั้ง
ความรู้สึกคือไม่อยากไปแล้ว แต่ยังไงเราก็ต้องเริ่มต้นที่จะก้าวด้วยตัวเอง
มันเป็นก้าวแรกในชีวิตตัวคนเดียวที่ยากมาก ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่จะต้องเริ่มเติบโตด้วยตัวของตัวเอง เพราะพ่อกับแม่ คงไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด
บางครั้งก็แอบคิดว่า มันจะเร็วไปมั้ย อายุเพียง 16 ปี ต้องไปจากอกพ่อแม่แล้ว
แต่อีกด้านหนึ่งก็คอยบอกว่า เพราะเค้าอยากให้เราโตเป็นผู้ใหญ่
เขาถึงให้เราไปตอนนี้ แล้วตัวเราเอง จะทำเพื่อพ่อแม่ แล้วเพื่ออนาคตของตัวเราเองไม่ได้เลยเหรอ
คนหลายๆคนที่เขาไปแล้วต้องลำบากกว่าเรา มีอีกตั้งเยอะ
เพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่นักเรียนแลกเปลี่ยน เขาก็ยังไปกลับมาได้
ลองพิสูจน์ให้ตัวเองกับคนอื่น ที่เขาคิดว่าเรามีแต่เป็นคุณหนู
แล้วสร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่สักครั้งหนึ่งหน่อยสิ
ว่าเราเองก็จะรอดกลับมาได้ และก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองดูสักครั้งสิ ว่ามันจะตายมั้ย
แล้วในวันนี้ ผ่านมาเกือบจะ 1 เดือน เราก็ตอบตัวเองได้แล้วว่า มันไม่มีทางที่จะตายได้เลย
วันนี้ เราได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองแล้ว เราทำได้แล้ว
อยากจะบอกพ่อกับแม่ว่า…
“หนูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่ต้องห่วงหนูแล้ว สบายใจได้ค่ะ
หนูสามารถใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในสังคมใหม่ได้แล้ว หนูจัดการชีวิตส่วนตัวของหนูได้ทุกอย่าง ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง จัดที่นอน ฯลฯ”
อย่างน้อย นี่ก็น่าจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆสิ่งหนึ่ง ที่สร้างความภูมิใจให้กับพ่อแม่ได้บ้าง
คิดถึงคนสมัยก่อน ที่เขาไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่โทรศัพย์ เขาน่าจะรู้สึกแย่กว่าเรา
หลายๆคน ที่ได้อ่านบล็อกนี้ ก็อาจจะแปลกใจนะคะ ที่ทำไมเราดูทำอะไรไม่เป็นขนาดนั้น
จริงๆก็ทำเป็น ทำได้ค่ะ แต่ไม่ทำ – -” แล้วมันจะเศ้ราอะไรขนาดนั้น
เป็นเพราะ ชีวิตนี้ เราไม่เคยที่จะได้ออกจากบ้านไปไหนนานๆ เกิน 1 อาทิตย์เลย
เราเป็นคนที่ติดบ้านมาก ไม่เคยออกไปดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเล่นกับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ
ออกไปปีละไม่เกิน 3 ครั้ง กับเพื่อน
ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป อยู่แต่บ้าน (มันต้องมีเสน่อะไรสักอย่างแน่ๆเลย)
แล้วเราเป็นคนที่วิตกกังวลสูง คิดมาก มีโลกส่วนตัวสูง
นี่มันเลยดูเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเรา
แต่เมื่อได้มาอยู่แล้วจริงๆ ลองเปิดใจตัวเองให้กับที่ใหม่แห่งนี้
ถึงแม้มันจะยากในครั้งแรกๆ แต่เราก็สามารถอยู่ได้
วันนี้เรากล้าพูดได้ว่า เราภูมิใจในตัวเองค่ะ
และมีความรู้สึกดีอย่างมาก ที่ได้ทำให้คนที่เรารักที่สุดในชีวิต เขาภูมิใจในตัวเรา
ลืมแนะนำตัวไป
เราขอไม่บอกชื่อนะคะ ตอนนี้อยู่ที่ Naperville ,Illinois,USA
เรียนอยู่ Neuqua Velley High School (รร.อันดับ 1 ของอเมริกา คุณพ่อภูมิใจมาก)
การเขียนบอกเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ คืออายกจะแบ่งปันประสบการณ์ตัวคนเดียวในต่างแดนให้
หลายๆคนที่สนใจได้รู้ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ขออภัยด้วยค่ะ
ถ้าสาวๆมีข้อแนะนำหรือคำติ เตือนอะไรก็บอกได้เลยค่ะ ต่างคนต่างความเห็น แต่อย่าแตกแยกค่ะ
(ฝรั่งเพิ่งถามเรื่องการเมืองมาค่ะ เขามองว่ามันร้ายแรงมาก -0-)
Discussion (10)
ชีวิต ส่วนตัวก็คล้ายๆกับ จขกท นั้นแหละค่ะ อยากบอกว่า อนาคตมันอยู่ในมือเราเอง
ถ้าเราไม่ทำ ไม่เอาโอกาศนี้ ก็ไม่มีทางได้มันมาง่ายๆนะค่ะ อยากบอกว่า
พอจขกท มีเพื่อนปุ๊ป ก็จะหายคิดถึงบ้านทันที:)