ข่าว: ภัยน้ำหอม+คสอ.ไม่ช่ายภัยน้ำท่วมอ่ะ ก๊าก ก๊าก

แฉภัยใหม่ในน้ำหอมยี่ห้อแพงๆ
แฉภัยมืดในเครื่องสำอาง กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคสำรวจพบสารเคมี "แธ็ลเลตส์" แฝงตัวอยู่ในสินค้าประเภทน้ำหอม และเครื่องสำอางหลายชนิด ล้วนแต่ยี่ห้อดังระดับโลก ทั้งคริสเตียน ดิออร์ เรฟรอน คาลวิน ไคลน์ และพีแอนด์จี แทรกซึมเข้าร่างกายได้ทั้งทางผิวหนัง การสูดกลิ่น และการกิน ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ของคนทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็กทารก ทั้งยังกระทบต่อไต ตับ และปอดด้วย ศูนย์ควบคุมเชื้อโรคของสหรัฐศึกษามากว่า 20 ปีแล้ว ที่ผ่านมาส่วนใหญ่พบผสมอยู่ในภาชนะใส่อาหาร ม่านอาบน้ำ อุปกรณ์ตกแต่งรถ ปูน และสีทาบ้าน ก่อนจะพบแพร่ระบาดอยู่ในเครื่องสำอาง

เมื่อวันที่ 11 ก.ค. เอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและคุ้มครองผู้บริโภคเปิดแถลงผลการสำรวจเครื่องสำอาง ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นถึงภัยความสวยที่เป็นพิษต่อสุขภาพ หลังตรวจพบสารเคมีอันตรายชื่อ แธ็ลเลตส์ (Phtalates) ผสมอยู่ในเครื่องสำอางประทินโฉมของสุภาพสตรียี่ห้อดังจำนวนมากถึงร้อยละ 72 จากตัวอย่าง 72 รายการ โดยสารเคมีตัวนี้ก่อผลเสียต่อพัฒนาการของทารกและทำให้ระบบสืบพันธุ์บกพร่องในอนาคต

รายงานการศึกษาดังกล่าวมีชื่อว่า "อย่าสวยเกินไป" (Not Too Pretty) จัดทำโดยกลุ่มองค์กรเอกชน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทำงานด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มคัมมิ่ง คลีน และกลุ่มดูแลสุขภาพปราศจากอันตราย (Environmental Working Group Coming Clean and Health Care without Harm) สำรวจพบสารแธ็ลเลตส์ในสินค้าสำรวจ 52 รายการ และ 11 รายการผสมสารจำพวกแธ็ลเลตส์มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป

สำหรับสินค้าชื่อดังที่ตรวจพบสารเคมีชนิดนี้ ได้แก่ น้ำหอม "พอยซัน" (Poison) ของคริสเตียน ดิออร์ น้ำยาระงับกลิ่นกาย"แอร์ริด เอ็กซ์ตร้า ดราย" สเปรย์แต่งผมของ"อควา เน็ต" ยาทาเล็บ"ซูเปอร์ ไชน์ เนล กลอส"ของเมย์เบลลีน นอกจากนี้ ยังพบสารเคมีนี้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในนามบริษัทเรฟลอน คาลวิน ไคลน์ และพีแอนด์จี อีกด้วย

รายงานระบุว่า น้ำหอมเป็นผลิตภัณฑ์อันตรายที่สุด เพราะผสมสารแธ็ลเลตส์ในปริมาณสูง โดยกลุ่มสำรวจพบสารแธ็ลเลตส์ในน้ำหอม "เรด ดอร์" (Red Door) ของเอลิซาเบธ อาร์เดน ถึง 28,000 ส่วนใน 1 ล้านส่วน เปรียบเทียบกับครีมบำรุงผิว นีเวีย บอดี้ ครีม พบสารเคมีชนิดนี้ 26 ส่วนใน 1 ล้านส่วน

สำหรับสารแธ็ลเลตส์ เป็นสารเคมีที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรม เพื่อเป็นตัวทำให้พลาสติกอ่อนตัวและนิ่ม ผลกระทบจากสารเคมีตัวนี้คือทำลายระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ รวมถึงทำลายตับ ไต และปอดในสัตว์ทดลอง นางไบรโอนี ชวาน ผู้ประสานงานโครงการคัมมิ่ง คลีน กล่าวว่าสารเคมีในกลุ่มแธ็ลเลตส์เป็นตัวทำลายพัฒนาการและความสามารถในการสืบพันธุ์ของทารกในอนาคต

ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มยังอ้างผลการศึกษาของศูนย์ควบคุมเชื้อโรคหรือซีดีซีในสหรัฐ ที่พบว่าร้อยละ 5 ของผู้หญิงในวัยสืบพันธุ์มีสารแธ็ลเลตส์ตกค้างในร่างกายมากกว่าระดับปกติถึง 20 เท่า และจากรายงานของซีดีซี พบสารชนิดนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ภาชนะบรรจุอาหาร ม่านอาบน้ำ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ปูน และสีทาบ้าน

รายงานระบุต่อว่า ไม่เพียงผู้หญิงเท่านั้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมีชนิดนี้ ผู้ชายเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน เพราะแธ็ลเลตส์สามารถซึมซาบเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง การสูดกลิ่น และจากอาหารที่ปนเปื้อน สังเกตได้ว่าการวิจัยในยุคทศวรรษ 1980 แสดงผลว่าสารเคมีตัวนี้นอกจากทำให้ลูกอัณฑะหดตัวแล้ว ยังเป็นผลร้ายต่อต่อมลูกหมาก ท่อน้ำอสุจิ อวัยวะเพศ และกระเพาะปัสสาวะ

"ช่องว่างหลักๆ ในกฎหมายระดับชาติปล่อยให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 860,000 ล้านบาทต่อปี ใส่สารแธ็ลเลตส์ลงไปในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลอย่างไม่มีขีดจำกัด และไม่ได้ทดสอบอะไรทั้งสิ้น" รายงานฉบับฮือฮาระบุ และย้ำว่าทางกลุ่มสำรวจสินค้าในตลาดไปได้เพียงแค่ร้อยละ 1 เท่านั้น แต่ยังพบอันตรายถึงขนาดนี้ 

นำมาฝากจั๊บหวังว่าคงเป็นประโยชน์ หุหุ 

Discussion (16)

แล้วนี่เราเป็นหมันแล้วหรือป่าวหว่า ไม่ท้องสักที อันตรายเจงๆ
น่ากลัวจัง..

แต่ก้อขอบคุงมากค่า
ขอบคุงสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ


แล้วต่อปายจาใช้ไรละเนี่ย