:+:+: La Mer Workshop :+:+:

ห่างหายจากการรีวิวไปซะนานนม วันอาทิตย์ที่ผ่านมามีโอกาสไปร่วมเวิร์กชอปของลาแมร์ ก็เลยมารีวิวซะหน่อย งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้สมาชิกได้ทดลองสินค้าใหม่ไลน์ Skin Color ก็คือรองพื้นกับแป้งฝุ่นนั่นเอง



ไม่พูดพล่ามทำเพลง เริ่มกันเลยละกัน งานเริ่มตอนบ่ายสอง ใครมาก่อนก็ให้ไปล้างหน้าด้วยโฟมกันก่อน เนื้อโฟมของลาแมร์นุ่มนวลดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ล้างเสร็จแล้วไม่แห้งตึง แอบชอบนะอันนี้

หลังจากล้างหน้าแล้วก็มาขัดหน้ากันซะหน่อยด้วยสครับผงเพชร หรือชื่อเต็มๆ ว่า The Refining Facial เนื้อสัมผัสคล้ายๆ Estee Micro-D (แต่ไม่ร้อนนะ) เนื้อครีมสีขาวมีเม็ดสครับละเอียด เวลาใช้ก็ทำหน้าให้เปียกแล้วก็ขัดวนเป็นวงกลมไปทั่วใบหน้า หลังล้างหน้าก็รู้สึกได้ว่าผิวนุ่มขึ้นนิดหน่อย แล้วก็มีผงเพชรติดหน้าอยู่ด้วย พยายามล้างก็ออกไม่หมด เค้าว่ามันจะช่วยกระจายแสงให้หน้าดูไบรท์ขึ้น ซึ่งจะเกาะติดอยู่พักนึงแล้วจะหลุดไปเอง แต่เราว่ามันแปลกๆ เพราะไม่ใช่อันเล็กๆ นะ ผงเค้าใหญ่ประมาณกากเพชรอ่ะ ติดอยู่บนหน้าเลย ถ้าใครชอบอะไรไฮโซๆ ก็ลองซื้อมาใช้ดู ยังไม่มีตังค์ซื้อเพชรเป็นเม็ดๆ เอาเป็นผงๆ ไปก่อนก็ได้?!?

ระหว่างรอคนอื่นๆ ขัดหน้า บีเอก็เอาสเปรย์น้ำแร่ The Mist ที่ข้างในขวดมีลูกเหล็กเพื่อสร้างประจุบวกลบอะไรเนี่ยแหละ (ยังงงๆ อยู่) มาฉีดให้เยอะแยะ เล่นเอาหน้าโชกเลย พอน้ำแร่แห้งไปจะรู้สึกได้ว่าผิวชุ่มชื่นปนเหนียวหน่อยๆ (อ้อ หลังจากล้างหน้าแล้วก่อนจะขัดหน้าบีเอก็ฉีดน้ำแร่ให้ หลังจากแต่งหน้าเสร็จก็ฉีดให้อีกที งานนี้ใช้คุ้มมมม)


หลังจากนี้ไปจะเริ่มถ่ายรูปแล้วนะ หาข้าวต้มมากินกะรูปปลากรอบได้ (เกทมั้ยเนี่ย) ล้างหน้าขัดหน้าเสร็จแล้วก็เริ่มขั้นตอนบำรุงผิวกันด้วยโทนเนอร์ที่ลาแมร์เรียกว่า The Tonic (เล่นเอาอยากเหล้าขึ้นมาทันที) มีสามสูตรด้วยกัน



สีชมพูสำหรับผิวแห้ง, ผิวผสม, แพ้ง่าย จริงๆ ก็ใช้ได้ทุกสภาพผิวแหละ ใครไม่รู้จะใช้สูตรไหนก็เอาสูตรนี้ละกันเพราะไม่มีแอลกอฮอล์

สีฟ้า สำหรับผิวมัน ผสมแอลกอฮอล์ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว มีผงแป้งเล็กน้อยเพื่อดูดซับความมัน

สีเขียว สูตร Whitening สำหรับคนอยากขาว สูตรนี้ชื่อ The Whitening Lotion ไม่ใช่โทนิคแล้วนะจ๊ะ


เนื่องจากโทนเนอร์ของลาแมร์เป็นโทนเนอร์สำหรับบำรุงไม่ใช่สำหรับทำความสะอาด เวลาใช้ก็เลยไม่ต้องเช็ด แค่หยดใส่สำลีให้ชุ่มแล้วเอามาแปะๆ ให้ทั่วหน้า โดยใช้สำลี 2 แผ่นซ้อนกัน (ทำไมฟระ เปลือง) เค้าบอกว่าสำลีแผ่นเดียวอุ้มน้ำไม่พอ โทนเนอร์จะติดที่นิ้วหมด หรืออีกวิธีก็คือเทใส่มือแล้วตบๆ เอา เหมือน
SKII, น้ำโสม, น้ำทับทิม (น้ำแมงลัก น้ำว่านหางจรเข้ เฮ้ย ไม่ใช่แระ) วันนี้เราเลือกสูตรสีฟ้า ใช้แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีแป้งผสมนะ ให้ความชุ่มชื่นดี โดยรวมก็เหมือนใช้โทนเนอร์ดีๆ ทั่วไปแหละ



ต่อมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อีกตัวชื่อ The Radiant Infusion เพื่อการกระชับรู*โดยเฉพาะ ของแถมก็คือจะทำให้ผิวดูเนียนเรียบขึ้นด้วย เนื้อจะเป็นน้ำสีขาวขุ่นค่อนข้างเหลวมาก ใช้ไม่ยากอันนี้ เทใส่นิ้วแล้วป้ายปื้ดได้เลย ผลลัพธ์จากการใช้ ขอบอกว่าเวิร์กมากครับ สำหรับคนรูใหญ่อย่างผมใช้แล้วรูกระชับขึ้นเห็นๆ ไม่ใช่ใช้ครั้งเดียวเห็นผลนะ อันนั้นก็เวอร์ไป พอดีได้เทสเตอร์มาลอง ใช้มาประมาณเดือนนึงแล้วล่ะ

*รูในที่นี้หมายถึงรูขุมขนนะจ๊ะ



ตัวดังอีกตัวของเค้าก็ต้อง The Eye Balm ครีมทาตาที่มีส่วนผสมมิราเคิลบรอธเจ้มจ้นกว่าครีมเดอลาแมร์ถึง 3 เท่า แต่อยู่ในรูปครีมเนื้อบางเบาซึมซาบเร็ว ฮู้ยย ว่าไปนั่น บีเอควักให้ใช้เยอะมากขอบอก เยอะกว่าควักใช้เองสองถึงสามเท่ากันเลย มิน่า เวลาใช้เองถึงไม่เห็นผล ฮ่วย เป็นจั่งซี่นี่เอง (ส่วนตัวใช้หมดหนึ่งกระปุกโดยไม่เกิดมรรคผลใดๆ ทั้งสิ้น)



มาถึงมอยซ์เจอร์ไรเซ่อร์กันซะที ตอนนี้มีหลายสูตรมากมาย* เริ่มจาก

- สูตรออริจินัล Crème de La Mer เนื้อครีมสีขาวข้นหนัก ถ้านึกไม่ออกลองไปซื้อครีมนีเวียกระปุกเหล็กสีน้ำเงินมาดู เนื้อและกลิ่นคล้ายคลึงกัน 555 ไม่ต้องสาธยายถึงสรรพคุณกันมากหรอกตัวนี้ ปลื้มมมมมมาก

- เนื้อโลชั่นสำหรับผิวธรรมดาชื่อ The Moisturizing Lotion สำหรับคนที่ไม่ชอบครีมเนื้อหนักใช้ตัวนี้แทน บางคนอาจจะเอามาทาเป็นเดย์ครีมก็ได้

- เนื้อโลชั่นสำหรับผิวมันชื่อ The Oil Absorbing Lotion ทาแล้วจะออกแมท หน้าไม่มัน ระวังไปเทสต์หน้ากล้องไม่ผ่าน (อันนั้นมันสมูทอี๊ เอิ๊กกก)

- อันล่าสุด The Moisturizing Gel Crème ครีมเนื้อเจล เอ๊ะ ยังไง แล้วมันเบาหรือหนักกว่าโลชั่นกันล่ะเนี่ย อันนี้ไม่รู้จริงๆ แฮะ แค่มาดามปุ๊กบอกว่าแพ้ก็ไม่คิดจะลองแล้ว เวลาใช้อันนี้ไม่ต้องวอร์มนะ แค่เอานิ้วสองข้างมาประกบกันแล้วตบได้เลย หรือจะทาก็ยังได้ เพราะเนื้อเบ๊าเบา (เค้าว่างั้น) อ้อ แสดงว่าเนื้อเบากว่าโลชั่นสิเนี่ย เพราะโลชั่นยังต้องวอร์มก่อนเลย 

*บีเอส่วนใหญ่จะบอกว่าทุกสูตรมีส่วนผสมเหมือนกันให้เลือกใช้ตามสภาพผิว แต่บีเอที่ขายกระปุกแรกให้เราบอกว่าตัวออริจินัลจะเข้มข้นที่สุด ถึงแม้ว่าผิวคุณจะมันหยดย้อยแต่หนูอยากให้คุณลองสูตรนี้ก่อนค่ะ ถ้าไม่เวิร์กแล้วค่อยมาว่ากัน สุดท้ายมันก็เวิร์กจริงๆ ล่ะตัว



ทามอยซ์เจอร์แล้วก็ต้องลงกันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของสกินแคร์ The SPF 18 Fluid โลชั่นเนื้อเหลวสีขาว ทาแล้วก็แอบมันเล็กน้อย ค่ากันแดดไม่สูงมาก เหมาะสำหรับสาวไฮโซทำงานออฟฟิศไม่เจอแดด แต่ถึงงั้นก็ต้องเติมตอนกลางวันด้วย (บีเอบอกมา) ซึ่งกันแดดเค้าบอกว่าสามารถทาทับเครื่องสำอางที่แต่งมาตอนเช้าได้เลย แค่ถูครีมบนมือแล้วกดเบาๆ ลงบนหน้า โดยไม่ทำให้เครื่องสำอางเป็นคราบ หลังจากนั้นค่อยเติมแป้งแต่งหน้าต่อไป



ก่อนจะเริ่มขั้นตอนแต่งหน้า ก็ขอลงลิปบาล์มนิดนึง The Lip Balm ตลับกลมแบนกลิ่นมิ้นท์เล็กน้อย ส่วนตัวใช้แล้วไม่ชอบเท่าไหร่ คงเพราะไม่มีปัญหาเรื่องปากแห้งปากลอกด้วย (แต่ปากหมาไม่แน่) ใช้ของถูกๆ ก็ได้ไม่ต่างกัน


(รูปนี้เป็นรองพื้นสูตรน้ำกับแป้งฝุ่นล่ะ)

มาถึงขั้นตอนการลงรองพื้น ลาแมร์มีสองเนื้อให้เลือกคือเนื้อครีม The Treatment Crème Foundation SPF 15 กับเนื้อน้ำ The Treatment Fluid Foundation SPF 15 สีที่เอามาให้ลองมี 6 สี จากอ่อนสุดไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ดูในเวบมี 10 สี คิดว่าสีเข้มๆ คงไม่เอามาขายเพราะคนไทยไม่ค่อยนิยม หลังจากลองสีแล้วเราเลือกแบบเนื้อน้ำสี 12 Sand สีเข้ากะหน้าดี บีเอแนะนำให้ใช้คู่กับแปรง The Foundation Brush บีเอบอกสรรพคุณว่ารองพื้นลาแมร์เนื้อเบาบาง เป็นเหมือนตาข่ายช่วยโอบอุ้มผิวไม่ให้หย่อนยานพร้อมบำรุงไปในตัว เค้าบอกว่าให้ใช้แปรงทาก่อน แปรงจะทำให้รองพื้นกระจายตัวเรียงกันเป็นตาข่าย (อะไรจะปานน้าน) แล้วค่อยใช้มือกดๆ ให้เนียนยิ่งขึ้น



เนื่องจากเนื้อมันบางเบามากเพราะงั้นอย่าคาดหวังว่ามันจะปกปิดอะไรได้ แต่ใช้แล้วหน้าดูเนียนใสไม่โบ๊ะ ไม่หนักหน้า ไม่เหนอะหน้า ไม่น้อยหน้าใครแน่นอน



สุดท้ายคือแป้งฝุ่น The Powder แป้งฝุ่นเนื้อละเอียดเบา เค้าบอกว่าให้ลองเอาแปรงจุ่มแป้งแล้วสลัดๆ แป้งของลาแมร์จะลอยขึ้นในขณะที่ยี่ห้ออื่นลอยลง (เค้าลองสลัดให้ดูแต่มองไม่เห็นอ่ะ ว่ามันลอยไปไหน) หรือลองเอานิ้วจุ่มลงในกระปุกแป้งก็ได้ นิ้วจะแตะถึงพื้นกระปุกได้ง่าย และไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาติดนิ้ว (อันนี้ไม่ได้ลองให้ดู ถ้าอยากรู้คงต้องซื้อไปลองเองอ่ะ) เค้ามีให้ลอง 3 สี (แต่ในเวบมี 5 สี) คือ

สี Translucent สีอ่อนกว่าเพื่อน ทาแล้วไม่เห็นสีหรอก (ชื่อมันบอก) แต่มีวิ้งเล็กมากๆ ลองปัดที่มือแล้วมองไม่เห็นวิ้งเลย

สี Natural เหมาะกะผิวสองสี

สี Creme เหมาะกะผิวขาว อย่างเราก็เลือกสีนี้

บีเอบอกว่ารองพื้นเราเลือกสีเดียวกะหน้า แป้งฝุ่นก็ควรเลือกให้อ่อนนิดนึง ถ้าเราเลือกรองพื้นสีอ่อนกว่าหน้า (บางคนชอบ จะได้ดูเด้งๆ) แล้วยังเลือกแป้งสีอ่อนอีก หน้าจะลอยหลอกมากเกินไป ก็จริงของเค้า พอโบ๊ะเสร็จหน้าดูดีเชียว ใสกิ๊งเรย



แต่ที่ติดใจกลับไม่ใช่แป้งหรอก เป็นแปรงแป้งตะหาก The Powder Brush แปรงพกขนาดใหญ่ไม่ใช่เล่น ขนสีขาวปลายสีเนื้อ ปลอกสีเงิน ไส้ข้างในสีเขียว เจ๊ยย มากไปแระ ปรับได้สามระดับมีร็อคเล็กๆ เอ๊ย ล็อกเล็กๆ ในแต่ละระดับ ขนแปรงนุ่มดีอ่ะ ชอบ ปัดแล้วไม่ระคายผิว



หมุนขึ้นมานิดนึงใช้เก็บรายละเอียด เช่น ใต้ตา



หมุนมาตรงกลางใช้จุ่มแป้งแล้วมากดๆ แตะๆ ที่หน้าก่อน นี่เป็นวิธีลงแป้งของลาแมร์นะฮะ



หมุนจนสุดใช้ปัดปาดทั่วหน้า เกลี่ยให้แป้งเนียนเสมอกัน

สำหรับคนที่กลัวว่ากระปุกแป้งช่างอลังการงานสร้างเหลือเกิน แบกไปไหนมาไหนไม่ไหวแน่ บีเอก็แนะนำว่าให้เอาแปรงจุ่มแป้งพอประมาณแล้วหดหัวเก็บไว้ กลางวันก็เอามาเติมได้สองถึงสามครั้งนั่นเชียว


(รองพื้นเรียงจากสีเข้มไปอ่อน ส่วนแป้งคือ Creme, Natural , Translucent)

หลังจากเวิร์กชอปกันเรียบร้อยก็บอกเรื่องโปรโมชั่นของลาแมร์และของห้าง สุดท้ายเราก็สอย The Radiant Infusion มาหนึ่งขวด ราคาเต็ม 4,100 ลด 10% เหลือ 3,690 บาท จริงๆ อยากได้แปรงด้วย แต่ยังทำใจไม่ได้ แปรงไรวะตั้ง 3,200 แพงนรก ตอนลองแอบเห็นมันหลุดมาสองเส้นด้วย ไม่รู้แข็งแรงรึปล่าว (หาข้ออ้างสุดริด) ตอนนี้ก็ยังอยากได้อยู่นะเนี่ย แง

จบจากเวิร์กชอปก็ไปดูหนัง (แอร์เย็น) แล้วก็กลับบ้าน (ไม่เปิดแอร์) ผ่านไปห้าหกชม. หน้าก็ยังไม่มันเท่าไหร่นะ ความมันขนาดนี้ถือว่ารับได้ ใครมีเงินถุงเงินถังก็ไปสอยมาเล้ยยยย

ป.ล. แอบเคืองบีเอ ไม่ยอมพูดถึง The Concentrate ซักแอะ กลัวจะลองกันล่ะซี้ ไอ้ขวดละ 15,000 เนี่ย ชิส์

Discussion (28)

เริศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศ
อยากลองตัวกระชับรูขุมขนมากๆ
โอ้วเริศมากๆเลยคะ
พี่อิ๋ว หน้าพี่ไม่มีปัญหาอะไรมากไม่ต้องลงทุนหรอก เปลืองปล่าวๆ

แมนคะ ทามมายมันแพงเกินรายได้ข้าราชการจนๆอย่างอิฉันจังง่ะ
ขอบคุณที่มารีวิวเด้อ เห็นแล้วอยากมีไว้ในครอบครอง อิจฉาอ้ะที่ได้ไปลอง

ขอบคุณคุณ supertarokung มากค่า ไว้จะไปลองที่เค้าท์เตอร์เร็วๆนี้ค่ะ
ตอนแรกก็รู้สึกเฉยๆกะยี่ห้อนี้ประกอบกะราคาที่แสนแพงเลยขอลาค่ะ
แต่พอมาเห็นหน้าเพื่อนที่ใช้แบบว่าหน้าใสจนเห็นได้ชัดมากๆ ได้ความว่า
ใช้ La Mer นี่ล่ะค่ะ ทำให้เริ่มเปลี่ยนความคิดว่า เออเราก็น่าจะลองใช้มั่งเน๊อะ
ลงทุนเพื่อผิวหน้าตัวเองหน่อย ผิวหน้าดีแต่งหน้าไงก็สวยอ่ะเน๊อะ