อายุ 14 อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้เลยkanokwanae1236 Mar 1218 Discussion (18)SEND kanokwanae12313 yr. ขอบคุณค่ะทุกคนจะลองทำดูค่ะ ^ ^' REPLY chewjung13 yr. พี่อายุ ยี่เจดละ ยังอ่าน ภาษาอังกิด ไม่ค่อยออกเลย อับอาย เห้อ พัฒนายังไงกอไม่ดีขึ้น REPLY tuesdae13 yr. คือเม้นบนยาวมากกกกก พิมพ์ไปจขกท.จะได้มาอ่านมั้ยยังไม่รู้เล้ยยยยย 5555 อะต่อๆ 3) พูด & เขียน ขอรวมสองสกิลนี้ไว้ในข้อเดียวเลยละกัน มันจะยาวไปละ 555 คือ สองสกิลนี้มันจะคล้ายๆกัน ประเด็นอยู่แค่ว่าเราต้องเค้นความรู้ในสมองเพื่อที่จะถ่ายทอดมันออกมาให้ได้ แค่นั้นเอง เริ่มต้นแนะนำให้หาเพื่อนในเน็ต คุย msn แชทไป เราจะมีเวลาคิด ไม่แน่ใจอะไรก็มาเช็คก่อน เขาพิมพ์มา เฮ้ย นั่นอะไร อ่านไม่ออก ก็กูเกิลทรานสเลตเอาก็ได้ วิธีเกรียนหน่อย แต่ได้ผล เราทำบ่อยมากกกกก ได้ศัพท์ใหม่ด้วย ได้ฝึกคิดด้วย เพราะกูเกิ้ลมันจะแปลมาแบบ มั่ว ๆ กาก ๆ เราต้องมานั่งคัดศัพท์เอาเอง เผลอ ๆใช้กูเกิลแปลงงกว่าเดิมด้วยซ้ำ อันนี้ก็ต้องระวังกันเอาเอง 555 แล้วถ้าอยากพูดกับคนจริง ๆ อยากฝึกสำเนียง อยากพูด ไม่อยากมานั่งเกรียนใช้กูเกิลทรานสเลตคุยแล้ว ก็คอลเอา สไกป์ก็ได้ msn ก็ได้ ตามสะดวก ส่วนเรื่องเขียน ไม่รู้ว่าจะยากไปมั้ย แต่แนะนำให้เขียน essay จากหนังสือที่อ่าน การเขียนเอสเสมันจะทำให้เราฝึกคิดไปด้วย เราชอบมากกกกกก เพราะมันต้องเค้นสมองเขียน พอเขียนเสร็จเราจะภูมิใจว่าแบบ เฮ้ย หน้าอย่างนี้ก็เขียนอะไรดูดีมีสาระได้ 55555 แต่ถ้ายากไปก็ทำแค่บันทึกการอ่านก็ได้ เหมือนที่ปกติที่โรงเรียนจะให้ทำ น่าจะเคยทำแหละ ร.ร.เรามีคาบบันทึกการอ่านด้วยซ้ำ = = เอ้อ ฝึกแปลด้วยก็ดี ทั้ง eng - thai, thai - eng แต่แนะนำให้ทำหลังจากที่คิดเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว :) REPLY tuesdae13 yr. ตามมิ้น @BeautyAddicted เลยอะ = = เหมือนกันทุกอย่างจริงๆ แค่ว่าเราไม่ได้พูดได้แต่เด็ก เคยเกลียดฝรั่งด้วย ไม่กลัวนะ คุยมาก็ตอบได้ แต่ไม่ชอบ มันตัวใหญ่ 555 แล้วก็ต่างกันที่ว่าเราพูดฝรั่งเศษไม่ได้ ได้แค่สเปนนิดหน่อย อ่านเข้าใจ พูดได้บ้าง เขียนเรียงความได้ด้วยความช่วยเหลือจากเน็ทนิดหน่อย 555 เคยเรียน ชอบด้วย เรียนภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้เลยทีเดียวเชียว 555 พูดสวีดิชไม่ได้ แต่เราพูดเดนิชได้ ก็เลยสื่อสารกันรู้เรื่อง แบบเค้าพูดสวีดิชมา เราพูดเดนิชตอบ มันคุยกันได้จริงๆนะ! 555 แล้วก็เหมือนสเปน รู้ภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกห้าสเต็ป กำลังเรียนเยอรมันเพิ่ม แล้วก็มีแผนว่าอยากเรียน ฝรั่งเศส รัสเซีย แล้วก็ฟินนิช (เราเป็นผู้หญิงเยอะ = =;; 555) นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ บลาๆ แต่เราไม่เคยต้องลำบากหาเพื่อนต่างชาตินะ (คือมีแหละ แต่ช่วงไหนไม่มีใครคุยด้วยก็ไม่แคร์) เพราะเราคุยกับตัวเองได้ 55555555555555 พูดออกเสียงด้วย ฝึกสำเนียง พูดคนเดียวเวิ่นเว้อคนเดียวเหมือนในละคร (เหมือนคนบ้ามากกว่า 555) ทำตามที่ข้างบนเขาเขียนๆมาอะ เราสรุปให้ละกัน เป็นขั้นเลย 555 (คือเห็นใครถามเรื่องนี้แล้วจะขึ้นมาก อยากตอบ 555) 1.) ฝึกอ่าน เราไม่แน่ใจว่าหนู (ขอเรียกจขกท.ว่าหนูละกัน เพราะเด็กกว่า + ไม่รู้ชื่อ) ห่วยภาษาอังกฤษขนาดไหน รักการอ่านหรือเปล่า แต่แนะนำให้อ่านก่อนค่ะขั้นแรก ตะลุยอ่านไปเหอะ อะไรก็ได้ ถ้าถึกพอ อ่าน dictionary (eng-eng) ได้ก็ดี เพราะตอนเด็ก ๆ เราก็เก่งภาษาไทยด้วยวิธีนี้แหละ อ่านพจนานุกรม = =... 555 เอาจริงๆถ้าเพิ่งเริ่มต้น ไม่แนะนำเอเชียบุ๊คส์ เพราะหนังสือในนั้นมีหลายระดับ แล้วมันจะเลือกไม่ถูก เกิดดวงไม่ดีเจอเล่มยากๆเข้าไปมันจะท้อเอาง่ายๆ เข้าซีเอ็ดก่อน มันจะมี oxford beginner (จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นหนังสือหัดอ่านภาษาอังกฤษของ oxford อะ) มันจะมีเป็นเลเวลมาให้เลือกเลย ตรงนี้ก็เลือกเอา จะเอาแนวไหน เรื่องยาวเรื่องสั้น จัดไป แล้วก็ ถ้าอยู่กทม. + advance ขึ้นมาหน่อยแล้ว ให้ไปศูนย์หนังสือจุฬา ขึ้นไปเลยชั้นสอง มีหนังสือแนะนำ 3 เล่ม (ทั้งหมดเป็น wordsworth classics) คือ 1) Grimm's Fairy Tales (J.L.C. & W.C. Grimm) นิทานกริมม์ เรารู้ว่าเคยอ่าน 555 ที่แนะนำเราะ ว่าคิดว่าน่าจะเคยอ่านภาคภาษาไทยมาแล้ว เราจะรู้โครงเรื่อง แล้วก็เดาพลอตได้เลยว่าจะเป็น ยังไงต่อ ไม่ต้องอ่านไปเปิดดิคไป 2) Perrault's Fairy Tales (A.E. Johnson) เล่มนี้ก็คล้ายข้างบน เทพนิยายคลาสสิก รู้พลอตมาแล้ว เดาได้ แล้วที่แนะนำคือ สองเล่มนี้เราจะได้แนวภาษาที่แตกต่างอะ คือ ภาษามันจะออกโบราณๆ หน่อย แล้วศัพท์สวยๆมันจะเยอะ ก็อ่านเพิ่มคลังศัพท์ไว้ ถ้าอยากได้ :) 3) Knock Three Times! (Marion St.John Webb) อันนี้ใหม่หน่อย ไม่คลาสสิก แต่สนุก 555 ศัพท์ ไม่ค่อยยาก จำแกรมม่าที่เห็นไปใช้ได้จริง เป็นวรรณกรรมเด็กใส ๆ ไม่ยาก ไม่หนาเว่อ พกไปอ่าน บนรถได้ อะไรได้ ที่ย้ำคือ เล่มนี้สนุกมวากกกกกกก 555 (เล่มละ 99 บาท เรามีของสนพ.นี้เต็มบ้านเลย 555) 4) หนังสือทุกเล่มของภูมิชาย บุญสินสุข สนพ. a day เอียแกสุดยอด แนะนำๆ เล่มนี้ซื้อที่ไหนก็ได้ที่มีขาย งานหนังสือก็ได้ มีลดราคาด้วย 555 นอกนั้นก็ bangkok post อ่านมันตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ต้องรอ advance แนะนำซื้อวันอาทิตย์วันเดียวพอ แล้วแบ่งอ่านไปเรื่อยๆทั้งสัปดาห์ ที่แนะนำวันอาทิตย์เพราะมันมีการ์ตูน (ดูเหตุผล...) เฮ้ยยย อย่าดูถูกการ์ตูนนะ อยากจะบอกว่า สทศ.ชอบดึงการ์ตูนช่องพวกนี้มาออกข้อสอบแหละ มาทุกปี :) หรือไม่งั้นก็อ่าน beauty blog อันนี้จริงๆไม่ค่อยชอบ อ่านแล้วกิเลสพอก ไปอ่านนิทานดีกว่า 55555555555555555555 2) ฟัง ฟังอะไรก็ได้ ง่ายสุดก็ดูหนัง เปิดซาวด์อังกฤษ ซับอังกฤษ ไม่ต้องเข้าใจมากก็ได้ (เพราะฉะนั้นอย่าเปิดซับไทย เพราะเรารู้ว่าหนูจะอ่านอย่างเดียว แล้วไม่ฟังเลย = =) จุดมุ่งหมายคืออยากให้ชินสำเนียง, ความเร็ว เราไม่รู้ว่าหนูอ่านเร็วแค่ไหน เพราะปกติซับจะขึ้นก่อนเสียงมานิดหน่อย ถ้าเป็นซับอังกฤษ เราจะอ่านก่อน (คือเราอ่านเร็วมาก ไปฝึกมาก็ดี ถ้าอยาก) แล้วก็ฟัง ว่าเสียงที่ออกมา มันเป็นยังไง อธิบายลำบากแฮะ... คือแยกเสียงเอาอะ เป็นพยางค์ๆ แล้วคิดว่าเสียงนี้มันมาจากคำไหน เกิดจากเสียงของตัวอักษรตัวไหน หรือเขากร่อนเสียง รวมคำอะไรยังไง ถ้าเป็นซับไทย เราจะใช้วิธีอ่านก่อน แล้วแปล(ทายใจคนในหนัง)ตรงนั้นเลยว่า ถ้าประโยคภาษาไทยมาแบบนี้ ภาษาอังกฤษจะเป็นยังไง ฟังไม่ทันก็รันใหม่ อย่าใจร้อน -.- ฟังเพลง อันนี้เกิดจากการที่เรารำคาญเพลงไทย (สาบานเถอะว่าที่ร้อง ๆกันมานั่นภาษาไทย = =) เราก็เลยฟังแต่เพลงฝรั่ง (แต่ปกติฟังคลาสสิก) ฟังเสร็จ ก็อยากร้อง ก็ต้องไปขวนขวายนั่งแกะ + หาเนื้อเพลงมาร้องให้ได้ (คือเมื่อก่อนแรดมาก ร้องจนคอพัง ขึ้นเสียงสูงไม่ได้ละ = =) เพลงพระราชนิพนธ์ภาษาอังกฤษก็เพราะ, ศัพท์ง่ายด้วย :) ถ้าฟิตหน่อย ก็ฟังข่าว ครูสอนภาษาอังกฤษเราบอกว่าให้ฟัง BBC (ในเว็บ) แต่เราไม่ชอบ ฟังไม่รู้เรื่อง = = หรือถ้าฟิตกว่านั้น ฟังเลคเชอร์ภาษาอังกฤษไปเลยยยย แนะนำ khanacademy เฮียแกเมพมาก ทำเราท็อปมาแล้ว 55555555 REPLY nan_baorong13 yr.ถ้าอ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ก็เริ่มตั้งใจ เชื่อว่า ถ้าตั้งใจจริง ภายในหนึ่งปี(ฝึกบ่อยๆ)จะเก่งขึ้นนะคะ เพราะว่าตัวเราเองอ่ะ เรียนภาษาจีนมา แล้วอังกฤษอ่อนมากกก ตอนอายุยี่สิบเอ็ด ยังพูดไม่ได้เลย (เผาตัวเองแล้ว อิอิ) แต่พอกลับจากจีนทำให้รู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก ก็เลยเริ่มมาจริงจังเรียนอ่านบ่อยๆดูหนังบ่อยๆ แค่ปีนึง จากที่พูดไม่ได้เลย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง กลายเป็นว่า รู้เรื่องขึ้น ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เก่งมาก แต่มันทำให้รู้สึกว่า เราพอฟังได้ แล้วยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น ยิ่งชอบภาษาอังกฤษมากขึ้น เราก็ไม่ได้เก่งมากแต่เรารู้สึกว่า มันฝึกกันได้ อยู่ที่ว่า "ตั้งใจ" หรือป่าว? REPLY VIEW 5 OLDER COMMENTS
chewjung13 yr. พี่อายุ ยี่เจดละ ยังอ่าน ภาษาอังกิด ไม่ค่อยออกเลย อับอาย เห้อ พัฒนายังไงกอไม่ดีขึ้น REPLY
tuesdae13 yr. คือเม้นบนยาวมากกกกก พิมพ์ไปจขกท.จะได้มาอ่านมั้ยยังไม่รู้เล้ยยยยย 5555 อะต่อๆ 3) พูด & เขียน ขอรวมสองสกิลนี้ไว้ในข้อเดียวเลยละกัน มันจะยาวไปละ 555 คือ สองสกิลนี้มันจะคล้ายๆกัน ประเด็นอยู่แค่ว่าเราต้องเค้นความรู้ในสมองเพื่อที่จะถ่ายทอดมันออกมาให้ได้ แค่นั้นเอง เริ่มต้นแนะนำให้หาเพื่อนในเน็ต คุย msn แชทไป เราจะมีเวลาคิด ไม่แน่ใจอะไรก็มาเช็คก่อน เขาพิมพ์มา เฮ้ย นั่นอะไร อ่านไม่ออก ก็กูเกิลทรานสเลตเอาก็ได้ วิธีเกรียนหน่อย แต่ได้ผล เราทำบ่อยมากกกกก ได้ศัพท์ใหม่ด้วย ได้ฝึกคิดด้วย เพราะกูเกิ้ลมันจะแปลมาแบบ มั่ว ๆ กาก ๆ เราต้องมานั่งคัดศัพท์เอาเอง เผลอ ๆใช้กูเกิลแปลงงกว่าเดิมด้วยซ้ำ อันนี้ก็ต้องระวังกันเอาเอง 555 แล้วถ้าอยากพูดกับคนจริง ๆ อยากฝึกสำเนียง อยากพูด ไม่อยากมานั่งเกรียนใช้กูเกิลทรานสเลตคุยแล้ว ก็คอลเอา สไกป์ก็ได้ msn ก็ได้ ตามสะดวก ส่วนเรื่องเขียน ไม่รู้ว่าจะยากไปมั้ย แต่แนะนำให้เขียน essay จากหนังสือที่อ่าน การเขียนเอสเสมันจะทำให้เราฝึกคิดไปด้วย เราชอบมากกกกกก เพราะมันต้องเค้นสมองเขียน พอเขียนเสร็จเราจะภูมิใจว่าแบบ เฮ้ย หน้าอย่างนี้ก็เขียนอะไรดูดีมีสาระได้ 55555 แต่ถ้ายากไปก็ทำแค่บันทึกการอ่านก็ได้ เหมือนที่ปกติที่โรงเรียนจะให้ทำ น่าจะเคยทำแหละ ร.ร.เรามีคาบบันทึกการอ่านด้วยซ้ำ = = เอ้อ ฝึกแปลด้วยก็ดี ทั้ง eng - thai, thai - eng แต่แนะนำให้ทำหลังจากที่คิดเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว :) REPLY
tuesdae13 yr. ตามมิ้น @BeautyAddicted เลยอะ = = เหมือนกันทุกอย่างจริงๆ แค่ว่าเราไม่ได้พูดได้แต่เด็ก เคยเกลียดฝรั่งด้วย ไม่กลัวนะ คุยมาก็ตอบได้ แต่ไม่ชอบ มันตัวใหญ่ 555 แล้วก็ต่างกันที่ว่าเราพูดฝรั่งเศษไม่ได้ ได้แค่สเปนนิดหน่อย อ่านเข้าใจ พูดได้บ้าง เขียนเรียงความได้ด้วยความช่วยเหลือจากเน็ทนิดหน่อย 555 เคยเรียน ชอบด้วย เรียนภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้เลยทีเดียวเชียว 555 พูดสวีดิชไม่ได้ แต่เราพูดเดนิชได้ ก็เลยสื่อสารกันรู้เรื่อง แบบเค้าพูดสวีดิชมา เราพูดเดนิชตอบ มันคุยกันได้จริงๆนะ! 555 แล้วก็เหมือนสเปน รู้ภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกห้าสเต็ป กำลังเรียนเยอรมันเพิ่ม แล้วก็มีแผนว่าอยากเรียน ฝรั่งเศส รัสเซีย แล้วก็ฟินนิช (เราเป็นผู้หญิงเยอะ = =;; 555) นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ บลาๆ แต่เราไม่เคยต้องลำบากหาเพื่อนต่างชาตินะ (คือมีแหละ แต่ช่วงไหนไม่มีใครคุยด้วยก็ไม่แคร์) เพราะเราคุยกับตัวเองได้ 55555555555555 พูดออกเสียงด้วย ฝึกสำเนียง พูดคนเดียวเวิ่นเว้อคนเดียวเหมือนในละคร (เหมือนคนบ้ามากกว่า 555) ทำตามที่ข้างบนเขาเขียนๆมาอะ เราสรุปให้ละกัน เป็นขั้นเลย 555 (คือเห็นใครถามเรื่องนี้แล้วจะขึ้นมาก อยากตอบ 555) 1.) ฝึกอ่าน เราไม่แน่ใจว่าหนู (ขอเรียกจขกท.ว่าหนูละกัน เพราะเด็กกว่า + ไม่รู้ชื่อ) ห่วยภาษาอังกฤษขนาดไหน รักการอ่านหรือเปล่า แต่แนะนำให้อ่านก่อนค่ะขั้นแรก ตะลุยอ่านไปเหอะ อะไรก็ได้ ถ้าถึกพอ อ่าน dictionary (eng-eng) ได้ก็ดี เพราะตอนเด็ก ๆ เราก็เก่งภาษาไทยด้วยวิธีนี้แหละ อ่านพจนานุกรม = =... 555 เอาจริงๆถ้าเพิ่งเริ่มต้น ไม่แนะนำเอเชียบุ๊คส์ เพราะหนังสือในนั้นมีหลายระดับ แล้วมันจะเลือกไม่ถูก เกิดดวงไม่ดีเจอเล่มยากๆเข้าไปมันจะท้อเอาง่ายๆ เข้าซีเอ็ดก่อน มันจะมี oxford beginner (จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นหนังสือหัดอ่านภาษาอังกฤษของ oxford อะ) มันจะมีเป็นเลเวลมาให้เลือกเลย ตรงนี้ก็เลือกเอา จะเอาแนวไหน เรื่องยาวเรื่องสั้น จัดไป แล้วก็ ถ้าอยู่กทม. + advance ขึ้นมาหน่อยแล้ว ให้ไปศูนย์หนังสือจุฬา ขึ้นไปเลยชั้นสอง มีหนังสือแนะนำ 3 เล่ม (ทั้งหมดเป็น wordsworth classics) คือ 1) Grimm's Fairy Tales (J.L.C. & W.C. Grimm) นิทานกริมม์ เรารู้ว่าเคยอ่าน 555 ที่แนะนำเราะ ว่าคิดว่าน่าจะเคยอ่านภาคภาษาไทยมาแล้ว เราจะรู้โครงเรื่อง แล้วก็เดาพลอตได้เลยว่าจะเป็น ยังไงต่อ ไม่ต้องอ่านไปเปิดดิคไป 2) Perrault's Fairy Tales (A.E. Johnson) เล่มนี้ก็คล้ายข้างบน เทพนิยายคลาสสิก รู้พลอตมาแล้ว เดาได้ แล้วที่แนะนำคือ สองเล่มนี้เราจะได้แนวภาษาที่แตกต่างอะ คือ ภาษามันจะออกโบราณๆ หน่อย แล้วศัพท์สวยๆมันจะเยอะ ก็อ่านเพิ่มคลังศัพท์ไว้ ถ้าอยากได้ :) 3) Knock Three Times! (Marion St.John Webb) อันนี้ใหม่หน่อย ไม่คลาสสิก แต่สนุก 555 ศัพท์ ไม่ค่อยยาก จำแกรมม่าที่เห็นไปใช้ได้จริง เป็นวรรณกรรมเด็กใส ๆ ไม่ยาก ไม่หนาเว่อ พกไปอ่าน บนรถได้ อะไรได้ ที่ย้ำคือ เล่มนี้สนุกมวากกกกกกก 555 (เล่มละ 99 บาท เรามีของสนพ.นี้เต็มบ้านเลย 555) 4) หนังสือทุกเล่มของภูมิชาย บุญสินสุข สนพ. a day เอียแกสุดยอด แนะนำๆ เล่มนี้ซื้อที่ไหนก็ได้ที่มีขาย งานหนังสือก็ได้ มีลดราคาด้วย 555 นอกนั้นก็ bangkok post อ่านมันตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ต้องรอ advance แนะนำซื้อวันอาทิตย์วันเดียวพอ แล้วแบ่งอ่านไปเรื่อยๆทั้งสัปดาห์ ที่แนะนำวันอาทิตย์เพราะมันมีการ์ตูน (ดูเหตุผล...) เฮ้ยยย อย่าดูถูกการ์ตูนนะ อยากจะบอกว่า สทศ.ชอบดึงการ์ตูนช่องพวกนี้มาออกข้อสอบแหละ มาทุกปี :) หรือไม่งั้นก็อ่าน beauty blog อันนี้จริงๆไม่ค่อยชอบ อ่านแล้วกิเลสพอก ไปอ่านนิทานดีกว่า 55555555555555555555 2) ฟัง ฟังอะไรก็ได้ ง่ายสุดก็ดูหนัง เปิดซาวด์อังกฤษ ซับอังกฤษ ไม่ต้องเข้าใจมากก็ได้ (เพราะฉะนั้นอย่าเปิดซับไทย เพราะเรารู้ว่าหนูจะอ่านอย่างเดียว แล้วไม่ฟังเลย = =) จุดมุ่งหมายคืออยากให้ชินสำเนียง, ความเร็ว เราไม่รู้ว่าหนูอ่านเร็วแค่ไหน เพราะปกติซับจะขึ้นก่อนเสียงมานิดหน่อย ถ้าเป็นซับอังกฤษ เราจะอ่านก่อน (คือเราอ่านเร็วมาก ไปฝึกมาก็ดี ถ้าอยาก) แล้วก็ฟัง ว่าเสียงที่ออกมา มันเป็นยังไง อธิบายลำบากแฮะ... คือแยกเสียงเอาอะ เป็นพยางค์ๆ แล้วคิดว่าเสียงนี้มันมาจากคำไหน เกิดจากเสียงของตัวอักษรตัวไหน หรือเขากร่อนเสียง รวมคำอะไรยังไง ถ้าเป็นซับไทย เราจะใช้วิธีอ่านก่อน แล้วแปล(ทายใจคนในหนัง)ตรงนั้นเลยว่า ถ้าประโยคภาษาไทยมาแบบนี้ ภาษาอังกฤษจะเป็นยังไง ฟังไม่ทันก็รันใหม่ อย่าใจร้อน -.- ฟังเพลง อันนี้เกิดจากการที่เรารำคาญเพลงไทย (สาบานเถอะว่าที่ร้อง ๆกันมานั่นภาษาไทย = =) เราก็เลยฟังแต่เพลงฝรั่ง (แต่ปกติฟังคลาสสิก) ฟังเสร็จ ก็อยากร้อง ก็ต้องไปขวนขวายนั่งแกะ + หาเนื้อเพลงมาร้องให้ได้ (คือเมื่อก่อนแรดมาก ร้องจนคอพัง ขึ้นเสียงสูงไม่ได้ละ = =) เพลงพระราชนิพนธ์ภาษาอังกฤษก็เพราะ, ศัพท์ง่ายด้วย :) ถ้าฟิตหน่อย ก็ฟังข่าว ครูสอนภาษาอังกฤษเราบอกว่าให้ฟัง BBC (ในเว็บ) แต่เราไม่ชอบ ฟังไม่รู้เรื่อง = = หรือถ้าฟิตกว่านั้น ฟังเลคเชอร์ภาษาอังกฤษไปเลยยยย แนะนำ khanacademy เฮียแกเมพมาก ทำเราท็อปมาแล้ว 55555555 REPLY
nan_baorong13 yr.ถ้าอ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ก็เริ่มตั้งใจ เชื่อว่า ถ้าตั้งใจจริง ภายในหนึ่งปี(ฝึกบ่อยๆ)จะเก่งขึ้นนะคะ เพราะว่าตัวเราเองอ่ะ เรียนภาษาจีนมา แล้วอังกฤษอ่อนมากกก ตอนอายุยี่สิบเอ็ด ยังพูดไม่ได้เลย (เผาตัวเองแล้ว อิอิ) แต่พอกลับจากจีนทำให้รู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก ก็เลยเริ่มมาจริงจังเรียนอ่านบ่อยๆดูหนังบ่อยๆ แค่ปีนึง จากที่พูดไม่ได้เลย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง กลายเป็นว่า รู้เรื่องขึ้น ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เก่งมาก แต่มันทำให้รู้สึกว่า เราพอฟังได้ แล้วยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น ยิ่งชอบภาษาอังกฤษมากขึ้น เราก็ไม่ได้เก่งมากแต่เรารู้สึกว่า มันฝึกกันได้ อยู่ที่ว่า "ตั้งใจ" หรือป่าว? REPLY
Discussion (18)
พัฒนายังไงกอไม่ดีขึ้น
พิมพ์ไปจขกท.จะได้มาอ่านมั้ยยังไม่รู้เล้ยยยยย 5555
อะต่อๆ
3) พูด & เขียน ขอรวมสองสกิลนี้ไว้ในข้อเดียวเลยละกัน มันจะยาวไปละ 555 คือ สองสกิลนี้มันจะคล้ายๆกัน ประเด็นอยู่แค่ว่าเราต้องเค้นความรู้ในสมองเพื่อที่จะถ่ายทอดมันออกมาให้ได้ แค่นั้นเอง เริ่มต้นแนะนำให้หาเพื่อนในเน็ต คุย msn แชทไป เราจะมีเวลาคิด ไม่แน่ใจอะไรก็มาเช็คก่อน เขาพิมพ์มา เฮ้ย นั่นอะไร อ่านไม่ออก ก็กูเกิลทรานสเลตเอาก็ได้ วิธีเกรียนหน่อย แต่ได้ผล เราทำบ่อยมากกกกก ได้ศัพท์ใหม่ด้วย ได้ฝึกคิดด้วย เพราะกูเกิ้ลมันจะแปลมาแบบ มั่ว ๆ กาก ๆ เราต้องมานั่งคัดศัพท์เอาเอง เผลอ ๆใช้กูเกิลแปลงงกว่าเดิมด้วยซ้ำ อันนี้ก็ต้องระวังกันเอาเอง 555
แล้วถ้าอยากพูดกับคนจริง ๆ อยากฝึกสำเนียง อยากพูด ไม่อยากมานั่งเกรียนใช้กูเกิลทรานสเลตคุยแล้ว ก็คอลเอา สไกป์ก็ได้ msn ก็ได้ ตามสะดวก
ส่วนเรื่องเขียน ไม่รู้ว่าจะยากไปมั้ย แต่แนะนำให้เขียน essay จากหนังสือที่อ่าน การเขียนเอสเสมันจะทำให้เราฝึกคิดไปด้วย เราชอบมากกกกกก เพราะมันต้องเค้นสมองเขียน พอเขียนเสร็จเราจะภูมิใจว่าแบบ เฮ้ย หน้าอย่างนี้ก็เขียนอะไรดูดีมีสาระได้ 55555 แต่ถ้ายากไปก็ทำแค่บันทึกการอ่านก็ได้ เหมือนที่ปกติที่โรงเรียนจะให้ทำ น่าจะเคยทำแหละ ร.ร.เรามีคาบบันทึกการอ่านด้วยซ้ำ = =
เอ้อ ฝึกแปลด้วยก็ดี ทั้ง eng - thai, thai - eng แต่แนะนำให้ทำหลังจากที่คิดเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว :)
เคยเกลียดฝรั่งด้วย ไม่กลัวนะ คุยมาก็ตอบได้ แต่ไม่ชอบ มันตัวใหญ่ 555
แล้วก็ต่างกันที่ว่าเราพูดฝรั่งเศษไม่ได้ ได้แค่สเปนนิดหน่อย อ่านเข้าใจ พูดได้บ้าง เขียนเรียงความได้ด้วยความช่วยเหลือจากเน็ทนิดหน่อย 555 เคยเรียน ชอบด้วย เรียนภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างถ่องแท้เลยทีเดียวเชียว 555 พูดสวีดิชไม่ได้ แต่เราพูดเดนิชได้ ก็เลยสื่อสารกันรู้เรื่อง แบบเค้าพูดสวีดิชมา เราพูดเดนิชตอบ มันคุยกันได้จริงๆนะ! 555 แล้วก็เหมือนสเปน รู้ภาษานี้แล้วเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกห้าสเต็ป กำลังเรียนเยอรมันเพิ่ม แล้วก็มีแผนว่าอยากเรียน ฝรั่งเศส รัสเซีย แล้วก็ฟินนิช (เราเป็นผู้หญิงเยอะ = =;; 555)
นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ บลาๆ
แต่เราไม่เคยต้องลำบากหาเพื่อนต่างชาตินะ (คือมีแหละ แต่ช่วงไหนไม่มีใครคุยด้วยก็ไม่แคร์) เพราะเราคุยกับตัวเองได้ 55555555555555 พูดออกเสียงด้วย ฝึกสำเนียง พูดคนเดียวเวิ่นเว้อคนเดียวเหมือนในละคร (เหมือนคนบ้ามากกว่า 555)
ทำตามที่ข้างบนเขาเขียนๆมาอะ เราสรุปให้ละกัน เป็นขั้นเลย 555
(คือเห็นใครถามเรื่องนี้แล้วจะขึ้นมาก อยากตอบ 555)
1.) ฝึกอ่าน เราไม่แน่ใจว่าหนู (ขอเรียกจขกท.ว่าหนูละกัน เพราะเด็กกว่า + ไม่รู้ชื่อ) ห่วยภาษาอังกฤษขนาดไหน รักการอ่านหรือเปล่า แต่แนะนำให้อ่านก่อนค่ะขั้นแรก ตะลุยอ่านไปเหอะ อะไรก็ได้ ถ้าถึกพอ อ่าน dictionary (eng-eng) ได้ก็ดี เพราะตอนเด็ก ๆ เราก็เก่งภาษาไทยด้วยวิธีนี้แหละ อ่านพจนานุกรม = =... 555
เอาจริงๆถ้าเพิ่งเริ่มต้น ไม่แนะนำเอเชียบุ๊คส์ เพราะหนังสือในนั้นมีหลายระดับ แล้วมันจะเลือกไม่ถูก เกิดดวงไม่ดีเจอเล่มยากๆเข้าไปมันจะท้อเอาง่ายๆ เข้าซีเอ็ดก่อน มันจะมี oxford beginner (จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นหนังสือหัดอ่านภาษาอังกฤษของ oxford อะ) มันจะมีเป็นเลเวลมาให้เลือกเลย ตรงนี้ก็เลือกเอา จะเอาแนวไหน เรื่องยาวเรื่องสั้น จัดไป
แล้วก็ ถ้าอยู่กทม. + advance ขึ้นมาหน่อยแล้ว ให้ไปศูนย์หนังสือจุฬา ขึ้นไปเลยชั้นสอง มีหนังสือแนะนำ 3 เล่ม (ทั้งหมดเป็น wordsworth classics) คือ
1) Grimm's Fairy Tales (J.L.C. & W.C. Grimm) นิทานกริมม์ เรารู้ว่าเคยอ่าน 555 ที่แนะนำเราะ ว่าคิดว่าน่าจะเคยอ่านภาคภาษาไทยมาแล้ว เราจะรู้โครงเรื่อง แล้วก็เดาพลอตได้เลยว่าจะเป็น ยังไงต่อ ไม่ต้องอ่านไปเปิดดิคไป
2) Perrault's Fairy Tales (A.E. Johnson) เล่มนี้ก็คล้ายข้างบน เทพนิยายคลาสสิก รู้พลอตมาแล้ว เดาได้ แล้วที่แนะนำคือ สองเล่มนี้เราจะได้แนวภาษาที่แตกต่างอะ คือ ภาษามันจะออกโบราณๆ หน่อย แล้วศัพท์สวยๆมันจะเยอะ ก็อ่านเพิ่มคลังศัพท์ไว้ ถ้าอยากได้ :)
3) Knock Three Times! (Marion St.John Webb) อันนี้ใหม่หน่อย ไม่คลาสสิก แต่สนุก 555 ศัพท์ ไม่ค่อยยาก จำแกรมม่าที่เห็นไปใช้ได้จริง เป็นวรรณกรรมเด็กใส ๆ ไม่ยาก ไม่หนาเว่อ พกไปอ่าน บนรถได้ อะไรได้ ที่ย้ำคือ เล่มนี้สนุกมวากกกกกกก 555
(เล่มละ 99 บาท เรามีของสนพ.นี้เต็มบ้านเลย 555)
4) หนังสือทุกเล่มของภูมิชาย บุญสินสุข สนพ. a day เอียแกสุดยอด แนะนำๆ เล่มนี้ซื้อที่ไหนก็ได้ที่มีขาย งานหนังสือก็ได้ มีลดราคาด้วย 555
นอกนั้นก็ bangkok post อ่านมันตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ต้องรอ advance แนะนำซื้อวันอาทิตย์วันเดียวพอ แล้วแบ่งอ่านไปเรื่อยๆทั้งสัปดาห์ ที่แนะนำวันอาทิตย์เพราะมันมีการ์ตูน (ดูเหตุผล...) เฮ้ยยย อย่าดูถูกการ์ตูนนะ อยากจะบอกว่า สทศ.ชอบดึงการ์ตูนช่องพวกนี้มาออกข้อสอบแหละ มาทุกปี :)
หรือไม่งั้นก็อ่าน beauty blog อันนี้จริงๆไม่ค่อยชอบ อ่านแล้วกิเลสพอก ไปอ่านนิทานดีกว่า 55555555555555555555
2) ฟัง ฟังอะไรก็ได้ ง่ายสุดก็ดูหนัง เปิดซาวด์อังกฤษ ซับอังกฤษ ไม่ต้องเข้าใจมากก็ได้ (เพราะฉะนั้นอย่าเปิดซับไทย เพราะเรารู้ว่าหนูจะอ่านอย่างเดียว แล้วไม่ฟังเลย = =) จุดมุ่งหมายคืออยากให้ชินสำเนียง, ความเร็ว เราไม่รู้ว่าหนูอ่านเร็วแค่ไหน เพราะปกติซับจะขึ้นก่อนเสียงมานิดหน่อย ถ้าเป็นซับอังกฤษ เราจะอ่านก่อน (คือเราอ่านเร็วมาก ไปฝึกมาก็ดี ถ้าอยาก) แล้วก็ฟัง ว่าเสียงที่ออกมา มันเป็นยังไง อธิบายลำบากแฮะ... คือแยกเสียงเอาอะ เป็นพยางค์ๆ แล้วคิดว่าเสียงนี้มันมาจากคำไหน เกิดจากเสียงของตัวอักษรตัวไหน หรือเขากร่อนเสียง รวมคำอะไรยังไง
ถ้าเป็นซับไทย เราจะใช้วิธีอ่านก่อน แล้วแปล(ทายใจคนในหนัง)ตรงนั้นเลยว่า ถ้าประโยคภาษาไทยมาแบบนี้ ภาษาอังกฤษจะเป็นยังไง ฟังไม่ทันก็รันใหม่ อย่าใจร้อน -.-
ฟังเพลง อันนี้เกิดจากการที่เรารำคาญเพลงไทย (สาบานเถอะว่าที่ร้อง ๆกันมานั่นภาษาไทย = =) เราก็เลยฟังแต่เพลงฝรั่ง (แต่ปกติฟังคลาสสิก) ฟังเสร็จ ก็อยากร้อง ก็ต้องไปขวนขวายนั่งแกะ + หาเนื้อเพลงมาร้องให้ได้ (คือเมื่อก่อนแรดมาก ร้องจนคอพัง ขึ้นเสียงสูงไม่ได้ละ = =) เพลงพระราชนิพนธ์ภาษาอังกฤษก็เพราะ, ศัพท์ง่ายด้วย :)
ถ้าฟิตหน่อย ก็ฟังข่าว ครูสอนภาษาอังกฤษเราบอกว่าให้ฟัง BBC (ในเว็บ) แต่เราไม่ชอบ ฟังไม่รู้เรื่อง = = หรือถ้าฟิตกว่านั้น ฟังเลคเชอร์ภาษาอังกฤษไปเลยยยย แนะนำ khanacademy เฮียแกเมพมาก ทำเราท็อปมาแล้ว 55555555
ถ้าอ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ก็เริ่มตั้งใจ
เชื่อว่า ถ้าตั้งใจจริง ภายในหนึ่งปี(ฝึกบ่อยๆ)จะเก่งขึ้นนะคะ
เพราะว่าตัวเราเองอ่ะ เรียนภาษาจีนมา แล้วอังกฤษอ่อนมากกก
ตอนอายุยี่สิบเอ็ด ยังพูดไม่ได้เลย (เผาตัวเองแล้ว อิอิ)
แต่พอกลับจากจีนทำให้รู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก ก็เลยเริ่มมาจริงจังเรียนอ่านบ่อยๆดูหนังบ่อยๆ
แค่ปีนึง จากที่พูดไม่ได้เลย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง กลายเป็นว่า รู้เรื่องขึ้น ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เก่งมาก
แต่มันทำให้รู้สึกว่า เราพอฟังได้ แล้วยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น ยิ่งชอบภาษาอังกฤษมากขึ้น
เราก็ไม่ได้เก่งมากแต่เรารู้สึกว่า มันฝึกกันได้ อยู่ที่ว่า "ตั้งใจ" หรือป่าว?