[ปรึกษาค่ะ] เรื่องการเรียนต่อ สับสนจริงๆ ขอร้องนะคะช่วยเข้ามาหน่อย :(
PLOYFONZ116***อาจจะยาว ต้องขอโทษล่วงหน้านะคะ แต่มันเป็นความสับสนของชีวิตในตอนนี้ เลยเขียนมันออกมาทั้งหมด เผื่อมันจะสามารถช่วยให้พี่ๆแนะนำทางออกที่ดีสำหรับอนาคตเด็กคนนึงได้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เราเป็นคนที่ชอบภาษามาก และคิดว่าในอนาคตอยากทำงานด้านนี้ไปตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่าอยากทำอาชีพอะไร รู้แต่ว่าต้องเป็นเกี่ยวกับภาษาแน่ๆ
แต่แม่เราอยากให้เราทำงานราชการ ซึ่งก็คือครูนั่นเอง เพราะเบิกได้ พ่อแม่เป็นอะไรก็ได้รักษา แก่มาก็สบาย
ตอนแรกเราก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอยากเป็น แต่พอแม่พูดเรื่อยๆ บวกกับเวลาเพื่อนเรียนแล้วไม่เข้าใจ เราสอนเพื่อนแล้วเพื่อนเข้าใจ จนพูดว่าอ๋อออ จากที่หน้างงๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มได้ มันก็ทำให้เรามีความสุข และรู้สึกดี รวมไปถึงความรู้สึกที่เวลาเราสอนเพื่อนแล้วเพื่อนไม่เข้าใจ เราก็จะพยายามทำให้เพื่อนเข้าใจให้ได้ บางวันเราก็กลับ 5 โมงเย็น (เลิก 4 โมง) เพราะสอนเพื่อนอยู่ เนื่องจากเพื่อนเข้าใจยากและเรารู้สึกอึดอัดเวลาเพื่อนไม่เข้าใจ ต้องสอนจนเพื่อนเป็นให้ได้ ในความรู้สึกเราเป็นแบบนั้น
จากคำชม+การที่แม่อยากให้เป็น มันสะสมทำให้เราเริ่มรักในอาชีพครูและอยากจะเป็นครูในที่สุด เวลาใครถาม เราก็บอกว่าเราอยากเป็นครู และความรู้สึกแบบนี้ก็อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่ ม.3 หรือ ม.4 นี่แหละ จนถึง ม.6 เทอม 1 (ตอนม.ต้น รู้แค่ว่าชอบภาษา แต่ไม่รู้ว่าอยากทำชีพอะไร เนื่องจากมันมีหลากหลายอาชีพ) ก็มีหลายคน ถามว่าทำไมอยากเป็น เงินน้อยนะ ยิ่งอ.ต่างชาติที่เรียนพิเศษด้วย เค้าถึงกับผงะ แล้วถามเราว่า Are you crazy?
แต่ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจเพราะว่าตอนนั้นเราชอบอาชีพนี้จริงๆ แม้จะรู้ว่าเงินเดือนน้อย+ภาระก็หนักมากๆ (เราอยากสอนมัธยม) แต่ใจมันอยากทำ เลยไม่ได้สนคำคนอื่น
จนวันนึง เราก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนึง ซึ่งมีพวกอาชีพต่างๆ ต้องจบจากคณะไหน เงินเดือนเท่าไหร่้ มันก็ทำให้เราเริ่มหวั่น เพราะเงินเดือน 8000 แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่า 15000 หรือยัง แต่คือต้องเรียน 6 ปี หมายถึงจบปริญญาโทนั่นเอง
ในส่วนตรงนั้นเราก็ไม่ได้วอรี่เท่าไหร่ เพราะเราตั้งใจไว้อยู่แล้วว่ายังไงก็จะต่อโท แต่อาจจะทำงานก่อนก็ว่ากันไป
มันมีหลายๆเหตุผลที่ทำให้เราเริ่มเปลี่ยนใจ (จากคนที่แน่วแน่มากๆว่ายังไงก็จะเข้าคณะนี้ และช่วงรับตรงที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้สมัครคณะอื่นเลย รอคณะศึกษาอย่างเดียว)
สิ่งที่ทำให้เราแน่วแน่ว่าจะทำอาชีพนี้คือ
1.เรารัก (แต่ตอนนี้ไม่มั่นใจว่ามันเป็นแค่เคยหรือเปล่า)
2.เคยดูดวงเค้าบอกว่าจะต้องทำงานที่เกี่ยวกับตราครุฑ ซึ่งก็คือราชการนั่นเอง
3.แก่มาสบาย+แม่อยากให้เป็น และตระกูลทางพ่อก็รับราชการซะส่วนใหญ่โดยเฉพาะครู
สิ่งที่ทำให้เราเริ่มเปลี่ยนใจ
1.เมื่อมองย้อนกลับไป ก่อนที่จะรู้ตัวว่าอยากทำอาชีพอะไร จุดเริ่มต้นมันไม่ได้มาจากการที่รู้ว่าอยากเป็นครู แต่เกิดจาก
1.1รู้ว่าชอบภาษา+แม่อยากให้เป็นครู
1.2ความรู้สึกที่ต้องอธิบายให้เพื่อนเข้าใจให้ได้
1.3การที่เพื่อนเข้าใจแล้วพูดว่าอ๋อออ
1.4ความสุขที่แสดงออกมาทางสายตาของเพื่อนที่เข้าใจ
1.5คำชมของเพื่อน
สุดท้าย มันเกิดเป็นความรักในอาชีพ แม้ว่าครูต่างชาติจะถามว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
2.เงินเดือน ตอนแรกเี่ราก็ไม่ได้คิดอะไร ตามที่บอกนั่นแหละค่ะ ว่าได้อ่านหนังสือเล่มนึง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้วว่าเงินประมาณ 8000 แต่ก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ แต่ทำไมพอมาอ่านแล้วรู้สึกว่ามันน้อยนิดเหลือเกิน ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยคิด
แล้วเราคิดว่าในอนาคต เราตั้งใจจะเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่แล้ว มันยิ่งทำให้เราไม่มั่นใจว่า เงิน 8000 จะเพียงพอต่อ ครอบครัวของเราหรือไม่ (เคยได้ยินว่าต้องทำงานเป็น10-30 ปี กว่าที่เงินเดือนจะเพิ่มเป็น 2-3 หมื่น) บวกกับแรงปรารถนาที่แน่วแน่มาตั้งแต่เด็ก ว่าเมื่อไรที่เราทำงาน เราจะต้องมีเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่เรา ตัวเรา และสามารถบริจาคต่างๆได้ เช่น บ้านพักคนชรา คนพิการ เด็กกำพร้า สุนัข หรือแม้กระทั่งสกู๊บชีวิตที่ออกข่าว บอกตามตรงว่าเราอยากช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่เงินเราก็ไม่ได้มีมาก (หมายถึงตอนนี้ที่เป็นเด็ก) มันยิ่งส่งผลอยากให้เราทำงานให้ได้เงินเยอะๆ เพื่อจะเพียงพอต่อสิ่งที่ปรารถนาอยากจะทำในอนาคต
3.เราอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ แต่ถ้าเราเรียนครูอังกฤษ ก็จะได้แค่อังกฤษอย่างเดียว เราไม่อยากปล่อยให้โอกาสหลุดออกไป โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งๆที่เรายังมีกำลังเรียน (ก่อนหน้านี้เราเคยเรียนมาแล้วและชอบ แต่พอม.ปลายเรียนหนักขึ้น เลยไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเหมือนตอนม.ต้นที่เลือกเรียนเป็นวิชาเสรี 2 ปี)
แต่ความต้องการของเรา มันขัดแย้งกับอาชีพที่เรา(เคย)รัก
มันเลยทำให้เราสับสน ว่าตอนนี้เรายังอยากจะเป็นครูหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เราแน่วแน่มาก และไม่สมัครคณะอื่นเลย รอสมัครคณะศึกษาศา่สตร์ สาขาภาษาอังกฤษเท่านั้น
แต่ตอนนี้เราก็เริ่มคิดว่าจริงๆแล้วเราอยากทำมันไหม เราจะต้องปล่อยโอกาสในการอยากเรียนภาษาที่ 3 หรือเปล่า เราจะได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ มีเงินเยอะๆ ให้แม่ซื้อที่ดินที่แม่อยากได้ไหม (ครอบครัวเราฐานะปานกลาง แต่ที่ดินที่แม่เราอยากได้ตั้งแต่แม่ยังเด็ก มันเกินกำลังที่ครอบครัวเราจะซื้อไหว) เพราะแม่เลี้ยงเราดีมากๆ เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ซื้อหนังสือทีหลายบาท (พวกหนังสืออ่านเสริม หนังสือเรียนประมาณนั้นค่ะ) แม่ไม่เคยบ่นเลย แต่ก็จะพูดแบบ แม่ดีไหมล่ะ ลูกอยากได้อะไรแม่ก็ซื้อให้ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของบางครอบครัว เค้าอาจจะบ่น (หรือเปล่า) ที่ลูกเค้าซื้อหนังสือขนาดนี้
มันเลยยิ่งทำให้เราอยากมีเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงท่าน ทำให้ท่านสบาย ให้ในสิ่งที่ท่านอยากได้มาตั้งแ่ต่เด็ก
ทุกสิ่งทุกอย่างเลยเกิดเป็นความสับสน ว่าจริงๆแล้วเราอยากจะทำอาชีพนี้จริงๆไหม หรือว่าความรู้สึกตอนนี้ มันเป็นแค่เคยรักไปแล้ว หรือเรายังรักอยู่ เราไม่รู้จริงๆ เราสับสน หรืออาจจะเป็นเพราะเพื่อนๆเริ่มได้ที่เรียนกันแล้ว บวกกับคณะและสาขาที่เราจะเรียน แทบไม่เปิดรับตรง มันเลยทำให้เราเปลี่ยนใจอยากไปคณะอื่นหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจ
ตอนนี้สิ่งที่เราคิดคือ
1.เราจะเรียนครูไปเลยเพื่อไปเป็นครูมัธยมตามที่ฝันไว้ หรือ
2.เรียนคณะมนุษยศาสตร์/ศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ+ญี่ปุ่นไปก่อน จบมาก็ทำงานด้านภาษาไป ทำในไทยก็ได้ ต่างประเทศก็ดี + เรียนป.โทไปด้วย ถ้าตอนนั้นใจยังรัก ก็ไปเป็นครูมหา'ลัย หรือไม่ก็มาสมัครเป็นครูมัธยมก็ได้ (แต่ไม่มั่นใจว่าสมัครได้หรือเปล่า)
เราจะทำยังไงดี เรางงและสับสนมากๆ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
Discussion (16)
เราเรียนสายวิทย์คงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่พ่อแม่เรารับราชการแต่เราเป็นพนักงานบริษัทก็เลยมีมุมมองมาแบ่งปันค่ะ
บริษัทใหญ่ๆที่มั่นคงมีสวัสดิการสู้รัฐได้ค่ะ เราอยู่บริษัทญี่ปุ่นที่สวัสดิการดีมาก เบิกค่ารักษาพยาบาลตัวเองและพ่อแม่ได้ เบิกค่าน้ำมันและค่าอาหาร และอื่นๆ มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่สำหรับเราข้าราชการยังดีกว่าค่ะ เงินบำนาญเป็นอะไรที่ไม่มีอะไรทดแทนได้จริงๆค่ะ
แต่สิ่งที่แตกต่างมากคือ เงินค่ะ ทำบริษัทได้เงินเยอะกว่ามาก หลายเท่าเลยค่ะ ทำโอทีก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นล่ามญี่ปุ่นนี่ 50000 ต่อเดือนค่ะ แต่เป็นสัญญาจ้างรายปีค่ะ ราชการไม่ได้มีดีที่เงินเดือนค่ะ มีดีที่ความมั่นคงและเงินระยะยาว
แต่สำหรับจขกท. ถ้าอยากเป็นครูจริงๆ และอยากรับราชการ เราว่าเรียนศึกษาศาสตร์ ดีกว่าค่ะ
อาจารย์มัธยมต้องมีใบประกอบวิชาชีพค่ะ ส่วนอาจารย์มหาวิทยาลัยรัฐ รุ่นต่อๆไปจะไม่ใช่ข้าราชการแล้วค่ะ เป็นพนักงานของมหาวิทยาลัย น่าจะคล้ายกับมหาวิทยาลัยเอกชน
แต่การเป็นครูต้องชอบจริงๆนะคะ กว่าจะได้บรรจุคงไม่ง่ายนัก เราเห็นอาจารย์อัตราจ้างเยอะมากเชียวค่ะ แถมเงินเดือนก็น้อย ต้องหารายได้พิเศษพวกสอนพิเศษ หรืองานอดิเรกอื่นๆ
เราคิดว่า ลองปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ว่าท่านอยากให้เราเป็นข้าราชการจริงรึเปล่า หรือแค่คิดว่าถ้าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องกดดันตัวเองมากค่ะ ส่วนเรื่องเรียนภาษาญี่ปุ่น เราว่าเรียนเสริมก็ได้ค่ะ ตอนมหาวิทยาลัย ชั่วโมงเรียนไม่ได้โหดร้ายเหมือนตอนม.ปลายค่ะ มีเวลาว่างพอจะเรียนอย่างอื่นเสริมได้ค่ะ
ทิ้งไว้นิดนึงค่ะ
เราเคยถามคนรู้จักว่าทำไมถึงทำอาชีพครู เค้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยค่ะ เค้าบอกได้เงินไม่เยอะ แต่ทำด้วยใจ มีความสุข ทำงานกับเด็กๆ มีทั้งน่ารักทั้งดื้อ ไม่เครียดเหมือนทำงานกับผู้ใหญ่ด้วยกัน เค้าภูมิใจค่ะ ทุกครั้งที่เด็กประสบความสำเร็จกลับมาหาเค้า เค้าบอกครั้งแรกน้ำตาซึมเลยค่ะ เราฟังแล้วอึ้งค่ะ คิดถึงอาจารย์ที่เคยสอนเราขึ้นมาทันทีเลยค่ะ รู้สึกว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้บุญและยิ่งใหญ่สำหรับเรามากค่ะ
ปล. ทำงานได้ตังเยอะ ไม่ได้หมายความว่าทำงานแล้วมีความสุขค่ะ เดือนนึงมีสามสิบวัน สุขอยู่วันเดียวค่ะวันที่เงินออก TT
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ที่ให้คำแนะนำ ที่บางคนพิมพ์ยาว เราอ่านหมดทุกบรรทัดจนจบหมดเลยนะขอบคุณทุกคน จริงๆค่ะ
ขออนุญาต เพิ่มเติมนะคะ
แรกแริ่มเลย ตั้งแต่ประมาณ ม.3 เราวางแผนไว้แล้วว่าเราจะเรียนคณะมนุษย์ เอกอังกฤษ โทภาษาญี่ปุ่น
เนื่องจากเราชอบทั้ง 2 ภาษา (ตอนแรกชอบอังกฤษก่อน พอได้มาเรียนเสรีญี่ปุ่นเลยพลอยชอบไปด้วย)
เคยคุยกับครูญี่ปุ่น เป็นภาษาญี่ปุ่นนี่แหละคะ คุยกันประมาณ 6 เดือน ตอนนั้นแค่ม.3 เค้าก็ถามว่าเราอายุเท่าไหร่ เราก็บอกว่า 15 เค้าก็ถามว่าทำไมพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งจัง แค่ 15 เอง (ตอนเริ่มคุยเราส่ง sms คุยค่ะ เพราะกลัวฟังไม่ทันเวลาคุยจริง เลยเริ่มง่ายๆก่อน) แต่ตอนนี้ก็ยอมรับว่าลืมไปเยอะแล้วเหมือนกัน เพราะเคยเรียนตอนม.2-3 แล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ จนตอนนี้ม.6แล้ว
ทุกครั้งที่เราเห็นคนต่างชาติมีปัญหา เช่นคนญี่ปุ่นบ้าง คนอังกฤษบ้าง ใจมันก็จะรู้สึกอยากเข้าไปช่วย อยากคุยด้วย เพราะอยากฝึกภาษา
แต่เราก็กลัวว่าถ้าเราเลือกเรียนศึกษาภาษาอังกฤษไป เราจะต้องทิ้งญี่ปุ่น ซึ่งเราไม่อยากทิ้ง
ก็เลยมีตัวเลือกในใจมากมาย เช่น
1.เรียนครูอังกฤษ แล้วไปศึกษาภาษาญี่ปุ่นเอง จบมาแล้วก็เป็นครูมัธยมได้+สอนพิเศษไปด้วย (ที่อยากเป็นครูมัธยมอาจเป็นเพราะเราเห็นบรรยากาศการสอนในร.ร.เราแล้วเรารู้สึกว่ามันสนุกเลยอยากเป็นครูมัธยม ไม่ใช่มหาลัย อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากเราไม่รู้ว่าการสอนในมหาลัยเป็นไง มันเลยทำให้เราอยากจะเป็นครูมัธยม แล้วเราก็ไม่รู้ว่าถ้าเรียนป.ตรีัมนุษย์ และต่อป.โท พวกคณะการศึกษา จะสามารถเป็นครูมัธยมได้ไหม ตามที่บอกนั่นแหละค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าสอนเด็กมัธยมมันสนุกเราเลยอยากสอน แต่เรายังไม่เคยเป็นนิสิต/นักศึกษาของมหาลัยไหน ก็เลยไม่รู้ว่าบรรยากาศการเรียนที่มหาลัยสนุกไหม)
**ซึ่งข้อเสียของมันคือ เราไม่รู้ว่าเราจะเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองไหวไหม
2.เรียนคณะมนุษย์เอกอังกฤษ โทญี่ปุ่น แล้วต่อป.โทพวกคณะด้านการศึกษา แต่ไม่รู้ว่าตอนไปสมัครสอนมัธยมเค้าจะรับไหม (อันนี้ใครทราบช่วยแนะนำด้วยนะคะ) ถ้าไม่ได้จริงๆแล้วใจยังรัก ก็คงจะเป็นครูมหาลัยแหละค่ะ
**ข้อเสีย ไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดเรื่องการสอบบรรจุครูของคนที่ ไม่ได้จบป.ตรีคณะศึกษา แต่จบป.โทเกี่ยวกับคณะศึกษา
3.เรียนมันให้หมดเลย เรียนครูอังกฤษที่มหาลัยเปิด และเรียนมนุษย์ที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น อาจจะเป็นญี่ปุ่นโดยตรงหรือเอกอังกฤษ โทญี่ปุ่นก็ว่ากันไป ที่มหาลัยปิด
**ข้อเสีย เรากลัวว่าเราจะเรียนที่มหาลัยปิดไม่จบ และไม่รู้ว่ามันหนักเกินไปหรือเปล่าสำหรับเด็กปี 1 ที่เรียนปริญญาตรี 2 ใบ (แต่ในใจก็คิดว่าถ้าจะเรียน 2 ใบ เรียนเป็นป.โทเลยดีกว่า แต่อาจจะต้องรอป.ตรีจบก่อน)
สมัยนี้หลักสูตรคุรุศาสตร์บัณฑิต คือ 5 ปีค่ะ
คือจะเป็นประมาณว่า ถ้าอยากเรียนครูภาษาญี่ปุ่น
ก็คือ เรียนเหมือน คนที่เรียนมนุษย์ศาสตร์ญี่ปุ่น+ เรียนวิชาชีพครู
จบมาแล้วทำงานได้ทั้งด้านภาษา และ ด้านครู ค่ะ
แล้วเรื่องสวัสดิการ ถึงไม่ได้เป็นข้าราชการ บริษัทที่มีความมั่นคง
ก็มีสวัสดิการดีไม่แพ้ข้าราชการหรอกนะคะ
น้าเราทำงานให้กับบริษัทญี่ปุ่นบริษัทนึงอยู่
ตำแหน่งไม่ได้สูงมากด้วยซ้ำ จบแค่ ปวส.
ลูกนอนโรงพยาบาล น้าเราก็ยังเบิกค่ารักษาพยาบาลลูกได้
เบิกค่าเทอมได้ มีทุนให้ด้วยถ้าลูกเรียนดีนะคะ
ส่วนเรื่องครอบครัว พ่อแม่นี่เราไม่รู้ เพราะตายายเราเสียนานแล้ว
เราเลยไม่รู้ว่าทางบริษัทเค้าดูแลพ่อแม่ด้วยหรือเปล่า
มีค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำมันรถ ค่าโทรศัพท์ให้ กู้เงินบริษัทได้
รวมๆแล้ว เ้งินพวกนี้อ่ะ ถ้ารู้จักเก็บออมนะ
ไม่ฟุ้งเฟ้อ เลี้ยงพ่อแม่ได้สบายๆ
เล้วถ้าเรียนแบบมนุษย์ หรือ อักษร (ไม่อยากเรียนถึง 5 ปี )
แล้วตอนหลังมาอยากเป็นครู จะไปเป็นครูเอกชน ไม่ได้นะ
แม่เราบอกว่า (แม่ทำงานโรงเรียนเอกชน) กฏหมายตอนนี้บังคับให้ครูโรงเรียนเอกชน
ต้องจบรายวิชาบังคับของครู(วิชาชีพครู)ด้วยถึงจะแจ้งชื่อว่าเป็นครูของโรงเรียนนี้ได้
เพราะฉนั้น เราสรุปตรงนี้เลยว่า เรียน คุรุศาสตร์ไปเลยค่ะ
เรียนไปเรื่อยๆ แล้วค่อยคิดก็ได้ ว่า ทำอาชีพอะไร หรือขยันมาก ก็ทำมันทั้งสองทาง
จะได้รวยๆเนาะ
จากที่มองๆครูมัธยมที่เราเรียนมา (เพราะเห็นว่าอยากสอนมัธยมใช่ไหมคะ)
ก็สอนในโรงเรียน เสร็จแล้วเปิดสอนพิเศษให้เด็กที่เราสอนมาเรียนเพิ่ม ได้หลายตังค์เลยค่ะจริงๆ
บอกไว้ให้เป็นตัวเลือกในการทำงานเผื่อสุดท้ายตัดสินใจไปเป็นครูจริง ๆ ค่ะ :)