คนประเภทนี้มีอยู่จริงในโลก
PaePsg519สืบเนื่องจากเราเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ชอบคณะเดิมที่เรียนอยู่ ก็เลยออกจากมหาวิทยาลัย(ตอนจะจบปีสอง - -)
แล้วมาเรียนมนุษย์ฯอิ้ง ที่ ม.ราม
ด้วยความที่เป็นเด็กโข่ง เพื่อนที่เรียนรามก็เรียนคนละคณะ เราเลยเข้าเว็บบอร์ดหาเพื่อนคณะเดียวกัน
แล้วก็มีน้องคนนึงไปโพสหาเพื่อนไว้ในเว็บบอร์ด เราก็เลยแอดเอ็มเอสเอ็นและเฟสไปคุยด้วย
พอวันที่จะนัดเจอกัน
น้องคนนั้นก็โทรมาคุยกับเรา แล้วก็ถามเราว่า "เราใช้ไอโฟนหรือบีบี"
เราก็ตอบว่า "พี่เคยใช้แต่บีบีค่ะ แต่ขายไปแล้วเพราะตอนที่พี่ใช้เพื่อนพี่ไม่มีใครใช้กันเลย ใช้ไม่คุ้ม ตอนนี้เลยใช้โนเกียธรรมดา" แต่ในใจก็ชักตะหงิดๆกะน้องคนนี้แล้ว
น้องก็หัวเราะค่ะ แล้วบอกว่า "หนูก็ใช้โนเกียรุ่นเก่าค่ะพี่"
เราก็สงสัยนะ ใช้โนเกียแล้วถามถึงไอโฟนกะบีบีทำไม?
....แล้วเราก็นัดเจอกันที่เดอะมอลล์ บางกะปิ
แว๊บแรกที่เจอ สมมติว่าชื่อน้อง ป. น้องก็ดูเป็นเด็กซื่อๆใสๆ คุยเก่ง น่ารัก เราถูกชะตากับน้องป.มาก
วันที่นัดเจอกัน น้องเค้าก็นัดแฟนด้วย แต่เราก็ไม่รู้ว่านัดเจอเรื่องอะไร
จนตอนไปกินยาโยอิด้วยกัน ถึงได้รู้ว่าแฟนน้องป.เอาไอโฟนมาให้
ตอนนั้นกระแสเรื่องไอโฟนห้ากำลังแรง แฟนน้องป.จะเปลี่ยนไปใช้ไอโฟน5 ก็เลยเอาไอโฟนเครื่องเก่ามาให้น้องป.ใช้ แลกกับโทรศัพท์โนเกียรุ่นป้า (เปลี่ยนซิมกันที่ยาโยอินั่นแหล่ะ)
คือตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก เห็นว่าเค้าเป็นแฟนกันแลกของกันใช้ไม่น่าจะแปลก
แต่แล้วน้องป.ก็ทำเรารู้สึกตะหงิดๆอีกรอบ ตอนจ่ายตังค์
น้องป.เล่าให้ฟังว่า เขาไปเจอเพื่อนคนนึงตอนไปลงทะเบียนที่ราม เห็นว่าท่าทางน่าจะเรียนเก่ง ก็เลยเข้าไปทัก ที่ไหนได้เป็นแค่เด็กพาณิชย์ แล้วตอนพาไปกินยาโยอิ ก็ทำเสร่อจะเรียกพนักงานให้มาเก็บเงินที่โต๊ะ งี้แหล่ะเนอะ มาจากบ้านนอก ไว้จะแนะนำให้พี่รู้จัก" พูดไปหัวเราะไป
คือน้องเค้าอาจจะพูดไม่ได้คิดนะ แต่มันเหมือนดูถูกคนอื่นยังไงไม่รู้ เราชักจะรู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปพยายามคิดว่าน้องยังเด็ก
....หลังจากนั้นเรากับน้องก็สนิทกันมากขึ้น ด้วยความเป็นเด็กร่าเริง เราก็เลยเอ็นดู
ตอนแรกน้องเค้าไปเรียนที่ราม2 ทุกวัน โดยที่ตอนเช้าคุณอาของน้องป.จะขับรถมาส่งที่ราม1 แล้วให้น้องป. ต่อรถเมล์ไปเรียนที่ราม2 พอตอนเย็นก็ให้น้องป.นั่งรถเมล์กลับบ้านที่มีนบุรีเอง
ส่วนเราอาศัยนอนดูถ่ายทอดสดการสอนทางอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ห้อง เพราะไม่อยากเดินทาง
ไปๆมาๆ น้องเค้าก็ขี้เกียจไปเรียนที่ราม2 ก็เลยมาดูอินเตอร์เน็ตที่ห้องกับเรา แล้วตอนเย็นก็นั่งรถเมล์กลับมีนบุรีเหมือนปกติ ทีนี้แหล่ะ เราเลยได้เรียนรู้นิสัยใจคอของน้องเค้ามากขึ้น
มานั่งดูถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ตที่ห้องได้ไม่กี่วัน น้องก็ชวนเราเที่ยว แรกๆเราก็ไปด้วย เพราะเกรงใจน้อง แต่หลังๆเราไม่อยากไป น้องก็เลยไปของน้องคนเดียว แล้ววันไหนกลับเย็นมากๆ ก็จะขอให้เราช่วยแก้ตัวกับคุณอาให้ว่าที่ม.รามมีกิจกรรมรับน้อง เราเข้าใจว่าที่บ้านคงเข้มงวด ขนาดกระโปรงทรงสอบ น้องป.ยังเอามาฝากไว้ที่ห้องเรา แล้วเวลาจะใส่ก็จะมาเปลี่ยนที่ห้อง ตอนเย็นจะกลับ ก็จะเปลี่ยนไปใส่กระโปรงพลีทเหมือนเดิม ซึ่งตรงนี้สำหรับเรามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เข้าใจว่าเป็นสาวก็อยากแต่งตัวบ้าง หลังจากนั้นน้องป.ก็อยากแต่งหน้า เราก็แต่งให้ แต่งหน้าเสร็จน้องป.ก็ไปเที่ยว ตอนเย็นก็กลับมาล้างหน้าที่ห้องเราก่อนนั่งรถเมล์กลับบ้าน
สิ่งที่เราสังเกตเพิ่มขึ้นมาคือ น้องป.เป็นพวกชอบของแบรนด์ คือในห้องเรามีของแบรนด์อะไร ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ น้องป.รู้จักหมด หรือถ้าไม่รู้จักก็จะถามข้อมูลหรือไม่ก็ราคาของชิ้นนั้น ซึ่งบางทีเราก็เลี่ยงที่จะตอบ
หรือบอกปัดๆไปว่า ซื้อตอนเซลส์
น้องป.เคยเล่าให้ฟังว่า แม่เป็นช่างเสริมสวยอยู่ลพบุรี บ้านไม่ค่อยมีตังค์ ก็เลยส่งน้องป.มาอยู่กับคุณอาที่มีนบุรี และน้องป.ได้ค่าขนมจากแม่เดือนล่ะ3000บาท อยู่กับคุณอาก็เป็นเหมือนคนรับใช้ ต้องทำงานทุกอย่างแลกกับที่อยู่ที่กิน
หลังจากน้องเล่าให้ฟังเราก็เลยพยายามเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เลี้ยงขนมน้องป.บ้างตามแต่โอกาส
เมื่อสนิทมากขึ้น เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของน้องป.
จากเด็กน่ารักๆ ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนละ 199 ใส่ได้แบบไม่อายใคร
กลายเป็นเด็กที่สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมาบนสังคมออนไลน์
ในเฟสบุคน้องป.เต็มไปด้วยรูปภาพอาหารและเครื่องแต่งกายที่ราคาค่อนข้างสูงสำหรับชนชั้นกลาง
เช่นช็อกโกแลตเมลท์มี, กาแฟสตาร์บัค, รองเท้าดอกเตอร์มาร์ติน, แว่นกันแดดแบรนด์กลางๆของ U.K.
อย่างSPITFIRE , หูฟังของMonster beat
รวมถึงรูปของคนอื่นที่ใส่ของแบรนด์เนมเหล่านี้ซึ่งถ่ายให้เห็นหน้าไม่ชัด เช่นรูปของยิปซีใส่แว่นกันแดดของซุปเปอร์
หรือรูปโต๊ะทำงานที่มีเครื่องเขียนหนังสือแพงๆวางอยู่ รูปคนถือกล้องถ่ายรูปรุ่นท็อป
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลน้องเขาบรรยายใต้ภาพให้เราเข้าใจว่า ภาพเหล่านี้เป็นรูปที่น้องเขาถ่ายเอง ซื้อเอง กินเอง หรือเป็นรูปตัวเอง
ตอนแรกเราก็สงสัยว่าน้องเขาไปเอาเงินจากไหนมาซื้อของพวกนี้
ในเมื่อน้องเคยบอกเราเองว่าน้องได้เงินเดือนล่ะ3000บาท แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
พอดีกับตอนนั้นเรากำลังจะซื้อแว่นกันแดดราคากลางๆ และกำลังเล็งของแว่นกันแดดของspitfire รุ่นเดียวกับที่น้องป.โพสรูปลงเฟสบุค ระหว่างที่หาข้อมูลเกี่ยวกับแว่น เราก็บังเอิญไปเจอรูปแว่นกันแดดรูปเดียวกับที่น้องป.โพสลงเฟส
เราจึงเข้าใจว่า จริงๆแล้วน้องป.ไม่ได้ซื้อแว่นจริงๆ แต่เอารูปของคนอื่นมาอัพลงเฟสตัวเองเพื่อโกหกคนอื่น
หลังจากนั้นเราจึงเอารูปทั้งหมดของน้อง ป. มาเสิร์จในกูเกิ้ล ผลปรากฏว่า ทุกรูปที่เราสงสัย เป็นรูปจากเว็บทั้งหมด รวมถึงรูปที่น้องป.บอกว่าเป็นรูปเธอเองนั้น จริงๆก็เป็นรูปของคนอื่นด้วย...
เราไม่รู้ว่าน้องป.ทำแบบนั้นไปทำไม แต่เราคิดว่าปล่อยให้น้องทำแบบนี้คงไม่ดี เพราะหากคนที่รู้ไม่ใช่เรา เค้าอาจจะมองน้องป.เป็นคนไม่ดีไปเลยก็ได้ แต่เราก็ไม่กล้าพูดกับน้องตรงๆ เราจึงใช้วิธีตั้งสเตตัสเหน็บเหมือนเรากำลังว่าคนอื่น โดยหวังว่าน้องป.จะรู้ตัวและเลิกทำนิสัยแบบนี้
แล้วน้องป.ก็รู้ตัว จึงให้เพื่อนอีกคนชื่อน้อง ก. มาบอกเราว่า "เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อข่มเพื่อนจากโรงเรียนเก่า เพราะเพื่อนคนนี้ขี้อวด " ซึ่งเราก็บอกกับน้องก.ไปว่า มันเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะขนาดเรายังรู้เลย แล้วถ้าเพื่อนคนนั้นรู้ เขาจะไม่ยิ่งดูถูกน้องป.มากเข้าไปอีกหรอ น้องป.ก็ฝากน้องก.มาบอกเราว่าเขาจะไม่ทำแล้ว
หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ น้องก.ก็ซื้อโทรศัพท์ไอโฟนก็อปมาใช้ โดยถ่ายรูปไอโฟนก็อปลงเฟส แล้วก็มาบอกเราในแชทบ็อกให้เราอย่าบอกใครว่าเป็นไอโฟนจีนแดงซื้อมา2000
แต่ที่มีคนมาคอมเมนท์ถามราคาใต้ภาพไอโฟน น้องก.กลับตอบคนๆนั้นหน้าตาเฉยว่า ซื้อมาสองหมื่นกว่าบาท
แถมพออีกวัน น้องป.ก็ทำเป็นถ่ายรูปตัวเอง โดยมีไอโฟนก็อปเครื่องนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะแบบจงใจ
สรุปว่าความหวังดีของเรา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย น้องไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยแม้แต่น้อย
เราจึงไปปรึกษากับเพื่อนว่า น้องเป็นแบบนี้เราจะทำยังไงให้น้องเค้าเลิกทำพฤติกรรมพวกนี้ เพราะเรากลัวว่าอนาคตข้างหน้าน้องมันอยากได้มากๆมันจะไปขายตัวแลกเอา เพื่อนเรามันก็เข้าใจว่าเราเป็นห่วงน้องจริงๆ แต่มันก็ไม่อยากให้เราไปข้องเกี่ยวกับคนประเภทนี้ มันจึงแนะนำให้เราลบเฟสสองคนนั้นไปซะ แล้วรู้จักกันแต่ข้างนอกก็พอ เพราะตัวจริงๆข้างนอกเค้าไม่ได้เฟคเหมือนในเฟสบุค
เราก็เลยลบเฟสน้องป.ออกไป และฝากบอกไปกับน้องก.ว่า เราขอรู้จักแต่เด็กร่าเริงสดใสข้างนอกเฟสบุคดีกว่า เพราะยิ่งดูในเฟสบุคก็ยิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน
หลังจากนั้นน้องก.ก็ลบเฟสเรา และเราก็ไม่เคยคุยกับน้องทั้งสองคนอีกเลย
จนมาวันนึง น้องก.ถูกแฮคเฟสบุค แล้วมีคนทำเพสปลอมขึ้นมาประจานว่าน้อง ก. มั่วผู้ชาย แล้วเฟสนี้ก็เที่ยวไล่แอดเพื่อนของน้องก. รวมทั้งเราด้วย แต่เราไม่ได้รับแอดเฟสปลอม เพราะเข้าใจว่าเป็นน้อง ก. แอดมาหา
หลังจากนั้นน้องก.ก็ตั้งสเตตัสด่าใครซักคน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับเรา
พออีกวันน้อง ก.ก็ตั้งสเตตัสอีก ประมาณว่า รู้ว่าใครเป็นคนทำเฟสปลอม เพราะคนทำมันมีปัญหากับ น้องก.และน้องป. เราเลยเข้าใจว่า น้องก. คิดว่าเราเป็นคนทำ เราก็เลยตามเข้าไปดูเฟสปลอมอันนั้น
ซึ่งเฟสปลอมอันนั้นสร้างขึ้นมาในวันที่ เราเพิ่งโดนพัดลมเพดานบาด กระดูกแตก มือหักต้องใส่เฝือกไปได้ไม่กี่วัน และเป็นวันเดียวกันกับที่เราไปเดินเซนทรัลพระราม9กับเพื่อนตั้งแต่เช้า จนถึงตอนเย็นก็ ไปส่งเพื่อนที่หัวลำโพงอีก ตอนทุ่มกว่าก็ไปดูหนัง ทั้งวันนั้นเราไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตเลย อีกอย่างแค่เราจะพิมพ์ยังลำบาก ทำได้แค่ใช้เมาส์คลิกเท่านั้น จะให้เราทำเฟสปลอมขึ้นมามันคงจะทุลักทุเลน่าดู
ที่สำคัญเราจะเข้าเฟสบุคของน้องก.เพื่อไปเอาข้อมูลมาได้ยังไง ในเมื่อเราไม่มีพาส
แต่เราก็ไม่แปลกใจที่น้องก.จะสงสัยเรา เพราะตอนที่น้องก.มาบอกว่าน้องป.ต้องเอารูปมาอัพลงเฟสเพราะจะข่มเพื่อน เราจึงขอยืมเฟสน้องก.เพื่อเข้าไปดูเพื่อนของน้อง ป. คนนั้น ว่าเขาขี้อวดยังไง ซึ่งพอเข้าไปดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาจะอวดอะไรตรงไหน เหมือนน้องป.ไปอิจฉาเขามากกว่า และแน่นอนครั้งนั้นครั้งเดียวและจบ เราก็ไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องส่วนตัวอะไรของน้องก.อยู่แล้ว
และตามปกติน้องเค้าก็คงเปลี่ยนพาสเวิร์ดไปแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอีก
อีกอย่างคือเรื่องเฟสปลอมอะไรนี่ มันมาเกิดตอนที่เรากับน้องก.ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้ว และเราก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ
ซึ่งหลังจากเรารู้ว่าน้องก.สงสัยเราว่าเป็นคนทำเฟสอันนั้นขึ้นมา เราจึงฝากเพื่อนของน้องก. ซึ่งเคยเป็นรูมเมทของน้องก. ที่ถูกน้องก.ใส่ร้ายเรื่องผู้ชายมาแล้วไปบอกน้องก.ว่า เรามีหลักฐานทุกอย่างให้พิสูจน์ เพราะวันที่เฟสนั้นถูกสร้าง เราอยู่ข้างนอกกับเพื่อน มีการเชคอินสถานที่จากไอโฟนของเพื่อน และที่สำคัญมีใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลรามคำแหงยืนยันว่าเรากระดูกแตกมือหักใส่เผือก
เรามีพร้อมทั้งพยานบุคคล พยานสถานที่
แต่น้องก.ก็หายหัว ไม่ยอมมาเคลียร์กับเราให้รู้เรื่อง
แถมยังให้แฟนเค้าแอดมาส่องเฟสเราอีก ซึ่งเราก็รับแอดนะ
อยากส่องนักก็เชิญ เราบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว
แล้วหลังจากวันนั้น ก็ไม่มีคำขอโทษใดๆออกมาจากปาก
และทั้งน้องป.และน้องก. ก็ยังมีพฤติกรรมสร้างโลกปลอมๆขึ้นในเฟสเหมือนเดิม
เราแค่อยากระบายเท่านั้น เพราะเราก็เสียความรู้สึกกับน้องป.มาก ทั้งๆที่เป็นห่วง หวังดี แต่กลายเป็นว่ามองไม่เห็นคววามหวังดีของเรา
ส่วนน้อง ก.นี่ เราเห็นว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เลยค่ะ ขนาดรูมเมทตัวเองยังเอาไปพูดไม่ดี
จะเป็นห่วงก็แต่น้องป. ที่มีเพื่อนอย่างน้องก. ดูท่าจะพากันลงเหวเท่านั้นเอง
Discussion (19)
แบบว่า.....
น้อง 2 คนนั้น เหมือนแฉตัวเองไปมาเลยค่ะ
จกขท. ก็อย่าหลงไปกับ 2 คนนี้นะคะ
เห็นด้วยนะคะเกี่ยวกับปมด้อย แต่ชีวิตใคร คนนั้นก็เลือกเดินเอง เมื่อเราพยายามแนะทางที่ถูกที่ควรแล้วก็ถูกมองข้ามหรือถูกปฏิเสธ ก็ต้องปล่อยวางอ่ะคะ (อุเบกขา) สำหรับบางคนอาจจะไม่เหมาะกับการที่มีคนเป็นห่วง แต่เหมาะกับการเจ็บจริงไม่ใช้สแตน์อิน หรือบางคนจนตายก็ยังไม่เข้าใจว่าโลกและชีวิตนั้นเป็นอย่างไร
คนที่น่าสงสารที่สุดคือแม่กับอา.....ที่ต้องเจอกับพฤติกรรมที่อาจเนรคุณบุพการีของลุกในวันหน้าก็ได้ไม่มีใครรู้
จะอธิบายว่ามันคือกรรมนะหรือ?.....ไม่แน่ใจเหมือนกันคะ
เป็นปมด้อย ความทะเยอทะยาน อ่ะค่ะ เราก็เคยเจอคนแบบนี้ ยังยอมรับความเป็นตัวเองไม่ได้ต้องอยู่กับโลกจอมปลอม เราว่าปล่อยไปเถอะค่ะ กู่ไม่กลับหรอก
ปล.ที่เราเจอแบบ แม่เป็นแม่ค้าในตลาด แต่บอกใครๆว่าแม่เป็นหมอเพราะอิจฉาที่เรามีพี่เป็นหมอ พ่อเป็นผู้รับเหมารายย่อยยยย แต่ก็อ้างว่าเป็นรายใหญ่ พี่เป็น draft man ก็บอกเป็นสถาปนิก - -"
โอ้โห เราพอจะเข้าใจจขกท.เลยค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้ง
เพราะเราไม่เพื่อนแบบนี้ เพื่อนเลยนะคะ แถมเพื่อนเรายังจะดูเลวร้ายกว่าน้องป.น้องก.อีก
เพราะเพื่อนเราหาเรื่องด่าชาวบ้านได้ทุกวัน ทำถ่ายรูปกับของแบรนเนม
จริงๆก็อปตลอดไม่ก็อปก็แค่ขอถุงเค้ามาถ่าย รูปบัตรเครดิตที่ถ่ายลง
จริงๆก็เป็นรูปบัตรนศ. แต่เราไม่เหมือนจขกท. เพราะเราไม่เตือน
เราเคยพูดทีนึงว่าจะเยอะอะไรนักหนาในเฟส ซึ่งนางก็เงียบไป
แล้วไม่รู้ยังไง นรกแตกขึ้นมาอีก ทีนี้เราปล่อยเลยค่ะ
ปล่อยเค้าประจารสันดานตัวเองไป คนไม่โง่ที่ดูออกก็มีเยอะแยะถมไป
แบบนี้เราว่ามันเหมือนปมด้อยมากกว่า อย่าไปห่วงเลยค่ะ เค้าทำตัวเอง
ในเมื่อเราเตือนแล้วพูดดีแล้วเค้าก็ไม่สนใจก็ปล่อยค่ะ
อย่าเอาตัวไปยุ่ง เพราะคนอื่นจะมองเราไม่ดีไปด้วย