คูซีน เดอ การ์เดน (Cuisine de Garden), เชียงใหม่

สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาสาวๆไปชมอาหารหน้าตาแปลกๆกันนะคะ แปลกแต่ชวนให้อยากลิ้มลองทีเดียว 


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ร้านที่จะพาไปวันนี้ ดิฉันไปมาตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
หากสาวๆท่านใดสนใจอยากตามไปทาน เมนูอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วบางเมนูนะคะ

ร้าน คูซีน เดอ การ์เดน (Cuisine de Garden) เป็นร้านอาหารแบบผสมผสาน
เป็นครัวตะวันตกยุคใหม่แบบคอนโมโพลีแทน จับนั่นจับนี่มาเป็นอาหารโดยใส่แรงบัลดาลใจของเชฟ
ขึ้นอยู่กับว่าฟีลจะมาหรือไม่มายังไง อาหารออกมาเป็นอะไร ไร้สัญชาติและก็ไร้ขีดจำกัดในการสร้างสรรค์
 

ร้านนี้อยู่ที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่


วันที่ไปร้าน คูซีน เดอการ์เดน ครั้งแรกนั้น ดิฉันทุลักทุเลมากกว่าจะไปถึง พูดง่ายๆคือหลงซอยค่ะ
แต่ก็ยังไปถึงจนได้นะ ภายในร้านให้ความรู้สึกอบอุ่น เงียบสงบแต่แอบหรูหราตั้งแต่ทางเข้า
แถมความเป็นธรรมชาติที่ไม่ทำจนเกินเลยไป เช่นใช้ปูนก็ปูนเปลือย แจกันหิน โต๊ะไม้
ทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับร้าน ไม่อึดอัด เป็นส่วนตัวดีค่ะ 
และทราบมาคร่าวๆว่าแต่ก่อนที่นี่ เคยเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านมาก่อน


ร้านอาหารที่นี่ดำเนินการโดยเชฟแนน-ลีลาวัฒน์ และ คุณบี-เณริศา (หัวหน้าบริกร) 
ความกระตือรือร้นของทั้งสองท่านนี้ก็น่าจะเพียงพอเลยค่ะที่จะขับเคลื่อนให้ร้านนี้
เป็นร้านอาหารที่มีความโดดเด่น และน่าจับตามองที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่


และเมื่อไม่นานมานี้เอง ร้าน คูซีน เดอ การ์เดน
ได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน Thailand Best Restaurants 2013
และวันพุธนี้เอง วันแรงงานแห่งชาติ เชฟแนนเจ้าของร้าน ออกรายการเชฟกระทะเหล็กด้วยนะคะ




ภายในร้าน นอกจากจะใช้อะไรๆที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ครัวที่ใช้ปรุงอาหารยังเป็นครัวเปิดอีกด้วยค่ะ
เราสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างเปิดเผย ทั้งหัวหน้าเชฟและผู้ช่วยภายในครัว




อาหารค่ำเริ่มแล้วค่ะ

"Coast to Coast" - หอยเชลล์ฮอกไกโดกับซัลซ่ามะเขือเทศและโฟมผักชี

เมนูนี้เหมือนความจงในก็คือใช้วัตถุดิบจากคนละฝั่งของทวีปมาเป็นเมนูแบบชายทะเลค่ะ หอยเชลล์ฮอกไกโดให้กลิ่น
ที่เหมือนเราถูกโอบล้อมด้วยมหาสมุทร เนื้อนุ่มและสดดีทีเดียว มีการทำให้สุกแบบอ่อนๆด้วยน้ำของหอยในเปลือกที่เทกลับไปกับซัลซ่า มันดูไม่สุดโต่งในรสชาตินัก เป็นอาหารที่เรียกน้ำย่อยแบบชายทะเล สางเค็มนิดๆ

รสชาติอาจไม่เยี่ยมยอดเท่ากับการที่เราทานอาหารทะเลกับน้ำจิ้มซีฟู้ดนะคะ แต่แบบนี้เราก็จะได้รับรสทั้งความสดของวัตถุดิบไปด้วย
 




Orange Amrtini - ออเรนจ์มาร์ตินี่ (ไมมีแอลกอฮอล์)

ไม่เคยดื่มมาร์ตินี่เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าต่างกันยังไง เท่าที่รู้สึกก็เหมือนน้ำอัดลมแบบไม่ใส่สี หวานๆ ซ่าๆค่ะ
ที่ก้นแก้วมีสเฟียร์ (Sphere) เป็นน้ำพันซ์ผลไม้ด้วย  (เด๋วจะอธิบายในเมนูที่ใช้ Sphere โดยเฉพาะนะคะ อยู่ด้านล่าง)




Cappuccino - ซุปกุ้ง - สาหร่ายวากาเมะโรยด้วยเห็ดทรัฟเฟิล(ดำ) และกุ้งลายเสือ

ถ้วยนี้ถูกน้ำเสนอออกมาให้เหมือนกับกาแฟคาปูชิโน่ร้อน โดยที่จะมีกุ้งลายเสือเสียบไม้ให้เหมือนกับแท่งน้ำตาล
หรืออบเชย ดิฉันดูแล้วไม่เข้าใจเท่าไหร่ มันดูคล้ายๆไข่ตุ๋นมากกว่านะ

แต่รสชาติต้องบอกว่านุ่มละมุน หอมแบบกลิ่นดินจากเห็น รสชาติมันคล้ายกับเครื่องดื่มอะไรบางอย่างที่ชงกับน้ำร้อนค่ะ




Terrarium - สวนขวดแก้ว (สลัดรมควัน, นัตแฮม, ส้มเนเวลเชื่อมและน้ำสลัดน้ำผึ้งบัลซามิค)

เมนูนี้ทำเอาดิฉันตื่นตาตื่นใจทีเดียวค่ะ พอเปิดขวดโหลแก้วขึ้นมาก็พบว่ามีป่าที่กินได้อยู่ภายในพร้อมไอน้ำ
ที่จำลองด้วยควันไม้เชอรี่ ผักสลัดในนั้นก็ตลบอบอวลไปด้วยควันเกือบทั้งหมด ตอนแรกก็ไม่ได้อ่านรายละเอียดว่า
มีอะไรบ้างเดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์กัน (เหตุผลที่ร้านอาหารดีๆมีแต่รายชื่อแต่ไม่มีรูป) ผักก็คุ้นเคยทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น
บีตรูท, เรดโอ๊ค, กรีนโอ๊ค แล้วก็น้ำผึ้งที่รู้สึกได้ถึงความเป็นป่าเมื่อผสมกับควัน แต่แฮมรมควันเนี่ยมันคือกลลวงสำหรับ
คนที่จะเลือกไวน์กับเมนูนี้พอสมควรค่ะ อย่าเลือกไวน์แดงหนักๆนะคะ (Merlot หรือไวน์โรเซ่ น่าจะได้)

เหมือนอนที่เราไปตีรังผึ้ง เราก็จะใช้ควันไล่ผึ้ง ทำให้ควันติดไปที่รังยังไงละคะ ^^
 




Main Dish เริ่มแล้วค่ะ

Snapper - ปลาหางเหลืองซอสต้มยำและเห็นเอริงหงิผัด (ออรินจิ, นางรมหลวง เรียกเอริงหงิแบบญี่ปุ่นไปเลยดีกว่า)

ปลาหางเหลืองเนื้อแน่นทีเดียวค่ะ ซอสต้มยำไม่ถึงพริกถึงขิงเลย อาจจะขัดคอคนไทยเล็กน้อยแต่กับฝรั่งอาจจะชอบมากก็ได้นะ เห็ดเอริงหงิรสชาติเหมือนหอยนางรมดีอยู่แล้วไม่ได้ปรุงอะไรมากนัก เป็นรสชาติแบบสงวนท่าทีพอสมควรเลยค่ะ
จะเผ็ดก็ไม่ จะเปรี้ยวก็ไม่ คงสมดุลของรสชาติเอาไว้แบบไม่ข่มวัตถุดิบอีกละ




"Sra-Bua" - สระบัว (ปลาดอรี่ซอสแกงเขียวหวานกับรากบัวดองและเม็ดบัว)

เนื้อปลาดอรี่จะนุ่มกว่าจานก่อนหน้านี้มากเลยทีเดียวค่ะ ตัดด้วยมีดก็ง่ายมาก ถูเนื้อปลาลากไปบนสระน้ำแกงเขียวหวานก็ยิ่งรู้สึกพิศวงในรสชาติอย่างมาก คือมันมีความอ่อนโยนกว่าน้ำแกงเขียวหวานกะทิที่เคยทานมา มีมิติของความลุ่มลึกที่มากกว่า ความละเอียดยิบของน้ำแกงทำให้รสชาติถูกแสดงออกมาอย่างเต็มๆ ทั้งที่รสชาติก็ไม่จัดเหมือนแกงเขียวหวานแบบปกติ ทำได้ดีอย่างมากค่ะ

สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนแกงเขียวหวานเลย คือความเผ็ดที่มีช่วงเวลาค่ะ ก็คือตักเข้าปากครั้งแรกไม่เผ็ดเลย แต่มันจะค่อยๆร้อนมากขึ้นจนรู้สึกผ่าวๆค่ะ ประทำใจการนำเสนอจุดนี้มาก

แต่สิ่งที่แย่ก็คือ ดูไม่ค่อยออกว่าเนื้อปลาทำมาแบบแท่งทำไม? คือดูไม่ออกจริงๆว่าจะจินตนาการเป็นขอนไม้ (ก็ไม่น่าจะยาวขนาดนี้) เลยงงๆค่ะ แล้วก็รากบัวที่แข็งพอสมควร ตัดแล้วเกือบกระเด็นเลย จะจิ้มแล้วตักเข้ามากมันก็แข็งๆสู้ฟันอยู่ดี





Pork Diablo - หมูสันใน (ส่วน Tenderloin นะคะ) ซอสเดียโบล

เนื้อหมูนุ่มมากค่ะ ความชัดเจนของวัตถุดิบจะมากกว่าซอสที่นองอยู่ด้านล่างเสียอีก (เดียโบลซอสเขาว่ามันเป็นซอสที่ให้ความหนักนี่นา) มีความชุ่มน้ำที่เนื้อหมูอุ้มเอาไว้ทุกคำที่ตักเข้าปากเลยค่ะ เดากันว่าอาจจะใช้เทคนิคแรงดันหรืออุณหภูมิที่ไม่ปกติหรือเปล่า ที่ไม่ปกติคือ อาจจะทำให้เนื้อสุกที่อุณหภูมิต่ำกว่าโดยทั่วไปนะคะ แต่ก็ทำออกมาได้ดี รสชาติกลางๆค่ะ เน้นความโดดเด่นของเนื้อหมู





ของหวานแล้วค่ะ

Sphere - สเฟียร์น้ำผลไม้

เป็นการใช้เทคนิคความตึงผิวที่ต่างกันของของเหลวค่ะ เป็นน้ำผลไม้ที่ผสมด้วยส้มและอีกอย่างน่าจะเป็นมะม่วงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ (คล้ายส้มซันคิสหรือเนเวล) เคลือบด้วยวุ้นลักษณะโปร่งใสประมาณเจลาตินอ่อนๆ รูปร่างเหมือนเราเปิดน้ำใส่ลูกโป่งค่ะ กลิ้งไปกลิ้งมาได้ แต่ไม่แตก มาแบบช้อนอย่างนี้ตักใส่ปากปั๊ป มันเริ่มแตกในปากก็จะจิ๊ดจ๊าดมากค่ะ ไอเดียวสร้างสรรค์ดีนะ


 

ซูมดูใกล้ๆกัน
ของเหลวที่ใช้เคลือบน้ำผลไม้ ไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำที่ทำจากสาหร่ายหรือเปล่านะคะ





"Sunny Side Up" [Panna Cotta]

ตื่นเต้นมาเยอะ เจอเมนูนี้ความรู้สึกแรกคิดว่าดูด้อยไปหน่อย เดาตรงกลางออกแล้วว่ามันคือสเฟียร์ค่ะ แต่มองในแง่ของการนำเสนอ จะนึกว่าบัวลอยไข่หวานซะอีกนะคะ สีส้มของสเฟียร์หลอกให้คนที่ไม่รู้มากก่อน คิดว่ามันคือไข่แดง แล้วก็ต้องน้ำลายพุ่งกันไปเมื่อได้ทานค่ะ

เนื้อพานนาค็อตต้านุ่มเนียนมากค่ะ กลิ่นหอมแบบกะทิ รสชาติอ่อนๆทานได้ไม่เบื่อเลย





สุดท้ายด้วยมูสช็อกโกแลตค่ะ

อันนี้ก็ไม่มีอะไรให้ว๊าวแล้ว เลยเฉยๆ รสชาติดีนะคะ ไม่ใช่ไม่ดี เหมือนขึ้นรถไฟเหาะไปแล้ว ในมันเทให้กับเมนูหลักๆไปเยอะ เลยไม่ค่อยจะสนใจเจ้าของหวานพวกนี้เท่าไหร่แล้วค่ะ แต่ที่ชอบก็คือเบอร์รี่ที่ทำเลียนแบบช็อกโกแลตเม็ดกลมนี่ล่ะค่ะ




เพิ่มเติมสำหรับคอไวน์นะคะ 

ที่นี่มีไวน์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้ว คอไวน์จะรู้จักกันดีค่ะ อย่างกาโตเนโกร (แมวดำ) ที่ราคาเมื่ออยู่ในร้านก็จะแพงกว่าซื้อมาเอง (ไม่รู้เจอค่าเปิดไปอีกเท่าไหร่) หรือเฮ้าส์ไวน์ของ The Pump ทั้งไวน์แดงกาแบร์เน่ต์โซวิญงที่ไม่ยักกะเข้ม แล้วก็ไวน์ขาวที่มีสมดุลก็โอเคอยู่ กลิ่นหอมหนักเล็กน้อยแบบชาร์ดอนเน่ย์ ก็เข้ากันกับอาหารของวันนี้ได้ดีค่ะ

ดูดีขึ้นมาหน่อยอาจจะเป็นมูตงการ์เดท์แบบโรเซ่หรือไวน์ขาว, โรเบิร์ตมอนดาวีแบบ Private Selection แล้วก็ไวน์ที่แพงที่สุดในร้านแล้วคือ เอสกูโด้โรโฮ 2009 ค่ะ

ไม่ชอบแก้วไวน์ตรงที่มันพิมพ์ติดเอาไว้ว่ามาจากแอมบรอสไวน์เลยค่ะ ที่นี่ไม่มีซอมเมอลิเย่ร์นะคะ แล้วก็ไม่แยกแก้วไวน์ขาว ไวน์แดงด้วย แต่ใครจะจู้จี้ขนาดนั้นละเนอะ ฉันมาทานอาหารนี่นา 55


 
อิ่มกันหรือยังคะ ขอจบรีวิวอาหาร ร้าน คูซีน เดอ การ์เดน ไว้เพียงเท่านี้ค่ะ <3
 


 

Discussion (7)

เปลี่ยนไปหมด ไม่เหมือนในรูปเลย ร้านก็ไม่มีการตกแต่งอะไร มีแค่โต๊ะและเก้าอีด ผักสลัดรมควันก็รมมาในกระป๋องน้ำแข็งปิดฝา ทำไมไม่เหมือรที่รีวิวกันไว้เลย เสียใจ

หิวเลย

สุนทรีย์แห่งการกิน

@คุณฝน ดิฉันว่าถ้าให้ทานเป็นมื้อปกติก็คงจะแพงไป เอาไว้สำหรับโอกาสพิเศษกับคนพิเศษน่าจะเหมาะกว่านะคะ

โอ้วววววว ทั้งหมดนี้ มันแพงไหมนะนั้น