ระบาย+เอาไงดี เรื่องมหาลัยค่ะ

ดีค่ะสาวๆจีบัน เราไม่ได้ตั้งทู้นานมากกกเพราะไม่มีเวลาเล่นคอมเลย
คิดถึงเว๊ปนี้มากมายอ่ะ วันนี้เรามีเรื่องมาปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนะค่ะ เรากำลังเคีรยดอยู่มากๆ

คือว่าตอนนี้เราอยู่ปี1  คือเรามีความคิดที่ไม่อยากรับน้องมาตั้งแต่ต้น คือคิดแบบว่า เราจะมาเรียนๆแต่จะไม่ร่วมกิจกรรม(ของเอกนะ แต่ของมหาลัยเราร่วมทุกอัน) เพราะกิจกรรมมันเยอะ มันอะไรหลายๆอย่างอ่ะค่ะ แล้วระบบรับน้องของมหาลัยเราเป็นระบบโซตัส เราก็ไม่ชอบ คือกลัวตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาเรียนแล้ว  แต่ท้ายที่สุด เราก็ร่วมกิจกรรมรับน้องนะคะ คือพูดตามภาษามหาลัยเราก็คือ "เอารุ่น"
เราก็คิดว่า เออ เราก็ผ่านมันมาได้ละนะรับน้อง โหดจริงไรจริง กดดันมากกกกกก มากจนเพื่อนในเอกเราคนนึงแบบ ร้องไห้ทุกวัน เครียดจนเกือบเป็นโรคประสาท (ตอนนี้ไม่เอารุ่นแล้ว )  แต่เราก็ผ่านมาได้นะ คืออดทน   แต่พอมาถึงวันนี้  เราร่วมกิจกรรมทุกอย่างนะ ก็ได้อะไรมากมาย ทั้งเพื่อน ความเป็นพี่น้อง แต่เรารู้สึกอึดอัด มันไม่ใช่ตัวเราเลย เราไม่สามารถทำอะไรๆอย่างที่เราอยากทำได้ เราต้องใส่คัชชูทุกวัน ซึ่งเราไม่ชอบ เจ็บเอ็นเท้ามากๆ เสาร์อาทิตย์เราก็ไม่เคยได้หยุดอยู่บ้านเลย ต้องมามหาลัยทุกๆวัน (เพื่อทำกิจกรรมของรุ่น) บอกตรงๆว่า กลับบ้านดึก การบ้านเรา เราทำไม่ทันด้วย และเราขี้เกียจเองด้วย (เพลียตัวเอง)  เราเริ่มเบื่อ อัดอึด กดดัน  (บางคนอาจจะคิดว่า ปัญหาเรามันเรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นจะต้องเครียด อันนั้นเราน้อมรับไว้ค่ะ เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกัน ) เราคิดว่าเราไม่เสียใจนะ ถ้าเราไม่เอารุ่นอ่ะ เพื่อนสนิทเราก็มี เพื่อนต่างเอกเราก็มี (เยอะ เรียนด้วยกันเกือบทุกวิชาด้วย) เพื่อนๆว่าเราคิดผิดรึป่าวคะ ถ้าจะไม่เอารุ่น หรือบางที เราอาจจะคิดอะไรตื้นๆ คิดแบบเด็กๆเกินไป  คือเราโลกส่วนตัวสูงอ่ะค่ะ แต่ไม่ถึงกับเก็บตัวเงียบคนเดียวนะ มนุษย์สัมพันธ์เราก็มี พอหาเพื่อนได้  เราอยากตั้งใจเรียนอย่างเดียว เราหวังเกียรตินิยม  แล้วเราก็อยากทำงานพิเศษด้วย  โอ้ยยย ในหัวมันตีกันไปหมด ช่วยแนะนำเราทีนะคะ เครียดไปหมดแล้วว

Discussion (19)

การรับน้อง ก็เหมือนการจำลอง ชีวิตการทำงาน และความกดดันทางสังคม ที่จะต้องเจอในชีวิตจริงหลังจากเรียนจบไป ระยะเวลาการรับน้อง แค่1 ปี แค่นั้นเอง  หากทนไม่ไหว ไม่อยากทำ ชีวิตจริง มันโหดร้ายกว่านั้นเยอะนะคะ เรียนจบไป ทำงานเจองานที่ไม่เหมือนกับที่เรียน  เจ้านายด่า เพื่อนร่วมงานห่วย จะทนได้หรอคะ น้องเพิ่งปีหนึ่ง อาจจะปรับตัวไม่ได้ แต่น้องลองมองในมุมที่ว่า ยิ่งโต ชีวิตยิ่งยาก ต้องอดทน ใจเย็น และยอมรับความเปลี่ยนแปลง พี่ว่าน้องจะต้องผ่านมันไปได้ด้วยดี น้องลองคิดดีๆนะคะ นอกจากรับน้องที่ น้องไม่ชอบแล้วเนี่ย เรื่องอื่นๆน้องก็มีความสุขดีไม่ใช่หรอคะ  เดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะ เป็นกำลังใจให้ พี่ก็เคยผ่านมาแล้วเหมือนกัน

พี่ก็เคยผ่านโซตัสค่ะ จะบอกว่าน้องไม่เอารุ่นไม่มีใครว่านะ แต่เดี๋ยวน้องจะรู้สึกโดดเดี่ยวคนเดียวถ้าเกิดตอนรับปริญญาอะค่ะ คนอื่นได้บูมด้วยกันกอดคอกัน ถ่ายรูปเฮฮากะชีวิต แต่น้องอาจมีเพื่อนจากน้องมหาลัยหรือต่างคณะมาแทนก็จริง แต่ความรู้สึกที่ได้ไม่เหมือนกันค่ะ อีกอย่างระบบโซตัสมีไว้เพื่อกระชับความสัมพันธ์

ที่ดุน้องบางครั้งเพราะเราอยากสนิทกะน้องนะเอาจิงๆ บางครั้งก็ว๊ากแหละ เพราะเห็นนิ่งๆไม่พูดกัน ก็เลยต้องมีดุกันบ้าง จิงๆแล้วไม่มีใครอยากดุน้องหรอกค่ะ เราเข้าใจด้วยซำ้เวลาดุแล้วเราก็อึดอัดอะ                ตอนม.ปลายไม่เห็นมีใครมาว่าอย่างนี้เลย ทำไมต้องว่ากันด้วยประมาณเนี้ยนะ แต่จะบอกเป็นคนว๊ากหรือต้องดุน้องก็เหนื่อยนะ ใช้พลังงานเยอะ55+  อีกอย่างนะซิ่วอะไม่ใช่ว่าจะดีหรอกนะ ถ้าซิ่วเพราะเรียนเหนื่อย คณะไม่ตรงกับที่อยากเข้าอันนี้ไม่ว่ากัน แต่ซิ่วหนีรับน้องนี่เหนื่อยยังไม่ถึงครึ่งที่ต้องไปเผชิญโลกภายนอกเลยค่ะ ยังไงสู้ๆนะ พอขึ้นปีสูงๆ จะเข้าใจว่าทำไมต้องว๊ากก ^__^

พี่เป็นคนนึงค่ะ ที่ผ่านระบบรับน้อง และเป็นผู้รับผิดชอบการรับน้องเอง ไม่เชิงโซตัส แต่เป็นเชิงจิตวิทยาและเหตุผลค่ะ

 

พี่ว่ามันอาจขึ้นอยู่กับสังคมแต่ละคณะค่ะ

(บอกก่อนว่าสังคมคณะพี่คือ ต้องมีพี่น้อง เครือข่าย ช่วยเหลือกัน รับผิดชอบสูงมาก งานหนักมากกกก กดดันมากจากอาจารย์ อยู่ตัวคนเดียวลำบากแน่ค่ะ เอาเป็นว่า ถาปัตย์นะน้อง 55 )

 

การรับน้องไม่ใช่การบีบบังคับ สมัยนี้เขาเปิดกว้างจะรับก็ได้ไม่รับก็ได้

 

เพียงแต่ถ้ารับ น้องจะได้รู้จักเพื่อนจำนวนมาก สนิทมาก รู้ใส้รู้พุง เพราะได้รับแรงกดดัน ผ่านอะไรมานักต่อนักด้วยกัน เพราะกิจกรรมรับน้องไม่ใช่แค่การกดดันอย่างเดียว มันจะมีกิจกรรมให้ได้พบปะรุ่นพี่ ทำกิจกรรมร่วมกับพี่ เยอะ น้องก็จะรู้จักพี่เยอะค่ะซึ่งเป็นประโยชน์มากเมื่อออกไปทำงานแล้วต้องมีเครือข่าย

การผ่านการถูกกดดันมานั้น ณเวลานั้นเราอาจทรมาน มันคือช่วงสั้นๆ แต่พอเรามาเจอสิ่งที่กดดันมากกว่า ตอนเรียน คิดงาน ทำงาน เราจะไม่เจ็บหนักค่ะ แถมยังมีเพื่อนๆ พี่ๆ คอยช่วยตลอดไม่เหงา

 

แต่พูดถึง ว่าถ้าน้องไม่คิดจะรับน้อง ไม่อยากรับ ก็สามารถทำได้ แต่ก็ต้องทำใจในส่วนนึงว่า เพื่อนในสังคมเดียวกัน เพื่อนที่รับน้องก็จะเลือกคุยกับเพื่อนที่รับน้องด้วยกันมา เพราะสนิทกว่า และเวลาที่คุยเรื่องสนุกๆขำๆตอนรับน้องเขาจะพูดได้ แต่ถ้าเขาจะมาพูดกับเราที่ไม่ได้รับน้องมา เขาก็จะไม่รู้พูดเรื่องอะไร นอกจากเรื่องงาน เรื่องเรียน บางทีเลยเลือกที่จะไม่คุย แต่หากไม่รับน้อง แต่ทำตัวดี ไม่กร่าง เข้าหาพี่ๆ มีน้ำใจต่อเพื่อนๆ ช่วยเหลือพี่ๆ เพือนๆ มาทำกิจกรรมรุ่น ก็จะไม่มีใครว่าค่ะ พี่ก็จะรักเหมือนกัน

 

มันเป็นเรื่องการอยู่ร่วมกันทางสังคมค่ะ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียน 

ทำความเข้าใจกับสังคมที่เป็นอยู่และอนาคตที่คาดว่าจะไปอยู่ในสังคมนั้นค่ะ และน้องก็พิจารณาว่าจะทำหรือไม่ทำ เดี่ยวนี้เขาไม่บังคับแล้วคะ

 

พี่เป็นคนหนึ่งที่ได้อะไรมากกับการรับมันมา คนไม่รับอาจไม่รู้ พี่ถือว่าพี่ต้องการใช้ชีวิตให้มีทุกรสชาติ กดดัน เสียใจ ร้องไห้ แค่มีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันข้างๆ แปบเดียวก็หาย มันเป็นแค่ช่วงสั้น แต่เวลาที่จะอยู่ด้วยกันไปอีกหลายปีในรั้วมหาวิทยาลัยและสังคมทำงาน อีกยาวค่ะ การเรียนพี่ก็ไม่ทิ้ง รับก็ตั้งใจ เรียนก็ตั้งใจ เกียรตินิยมก็ลอยมาเห็นๆ แถมพี่ยังใช้ชีวิตครบรส สนุกค่ะ เอาไปบอกลูกบอกหลาน คุยกับเพื่อนกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลย

 

 

สู้ๆค่ะ พี่มาแชร์ประสบการณ์

 

มองสังคมที่ตนอยู่ และอนาคตของสังคมที่ตนคาดว่าจะไปอยู่ค่ะ และ พิจารณาจากสิ่งที่ตนเป็น

 

เราเรียนม.เอกชนคงไม่ได้เคร่งเรื่องรับน้องมาก

แต่เราก็ไม่ยุ่งกับภาควิชานะคะ อยู่มาจนจะขึ้นปี4แล้ว การเรียนเราก็ไม่แย่ และเราก็มีเพื่อนค่ะ

ทำหน้าที่ของเราคือตั้งใจเรียนก็พอค่ะ

รับเทอมนึง รับปีนึง แล้วแต่คณะ แต่ละมหาลัย (ขอใช้คำสั้น) ก็ไม่แน่ใจนะ ตอนน้องอยู่ปีหนึ่ง น้องอาจจะแบบ...น่าเบื่อมาก รู้สึกถึงความอคติเกี่ยวกับระบบนี้ แต่มันก็จริงนะ เพราะต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตในมหาลัย การเรียนรูปแบบก็เปลี่ยนไปจากมัธยมมาก มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่เด็กๆเอาแต่รับน้อง เครียด ประมาณนี้ ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการเรียนจริงๆ ตัวพี่เองก็มัวแต่คิดถึงรับน้องหลังเลิกเรียน เอาเป็นว่า คาบบ่าย ไม่มีกะใจจะเรียนเลย มันส่งผลกระทบถึงการเรียน รับถึงดึกดื่น กว่าจะได้เข้าหอ ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว กินข้าว ซักผ้า อาบน้ำ เที่ยงคืน ตื่นมาไปเรียนแบบนี้ ถามว่าเวลาเอาไปทบทวนบทเรียนน้อยนิดจริงๆ แต่อย่างไรก็ดี มีคนไม่น้อยที่ตอนเป็นรุ่นน้อง เขาจะรู้สึกเซ็งมาก แต่พอตัวเองได้เป็นรุ่นพี่ จะมีเหตุผลต่างๆนาๆ มาสนับสนุน เช่น มันทำให้เราสามัคคีกันจริงๆ ซึ่งมันก็จริงนะ ต่างจากที่เขาไม่รับน้อง ซึ่งจะอยู่เป็นก๊กเป็นกลุ่ม ไม่รู้จักกัน ตัวใครตัวมัน ทำให้เด็กสังคมน้อยๆมีโอกาสใกล้ชิดผู้อื่นมากขึ้น ทำให้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้อง ไรงี้ พอได้รุ่นมา พยายามมากๆ พอได้รุ่นแล้วก็ภูมิใจสุดๆ ซึ่งไม่แน่ ว่าน้องโตไปเป็นรุ่นพี่น้องอาจคิดแบบนี้ก็ได้ แต่สำหรับพี่ (ซึ่ง ผ่านการรับน้องมาแล้ว พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับระบบนี้เท่าใดนัก) ซึ่งต่างๆเพื่อนๆอีกหลายๆคนที่แนวคิดแตกต่างไปสิ้นเชิง แต่ถ้าน้องคิดว่าอดทนได้ ก็ทำไปเถิด เพราะถ้าน้องอยู่มหาลัยที่เขาเคร่งเรื่องนี้ กิจกรรม การใช้ชีวิตมันช่างผูกพันกับระบบนี้ ถ้าน้องออกไป มันอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น การเรียน การเข้ากลุ่ม ในอีกระยะเวลาสี่ปี 
ป.ล. อย่าไปคิดกับคำพูดที่ว่า โดนแค่นี้ พอจบไป ยิ่งกว่านี้อีกเยอะ คือจริงๆมันก็จริงนะ โตไปเราต้องเจออะไรมากกว่านี้อีกมากมาย แต่เอาจริงๆคือ คนพูดเขายังไม่เรียนจบเลยค่ะ ประสบการณ์ของเขามากกว่าเรา 3-4 ขุม พี่คิดว่ามันไม่ใช่มาด้วยคำขู่ การบังคับ แต่มันต้องมาด้วยความสมัครใจของน้องๆ น้องๆรักพี่ และเคารพพี่พี่ด้วยใจ นี่ล่ะสำคัญ