เอาสาระเรื่อง ฝ้า กระ รักษา ยังไงได้บ้างมาฝากค่ะ

เกรินก่อนนะคะว่าไปอ่านเจอมาแล้วน่าสนใจเลยเอามาฝาก เราเองเป็นฝ้าขึ้นหน้า แต่พึ่งรู้ว่าฝ้าที่ขึ้นหน้าอยู่นี่มันมีหลายประเภทมากจากบทความคุณหมอท่านนึงค่ะ ก็เลยรู้อีกว่าตัวเองรักษาแบบไม่ถูกจุดมาโดยตลอด ลองอ่านดูนะคะสำหรับคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องฝ้า กระขึ้นหน้าอยู่ เวลาแต่งหน้าก็เหมือนโบกปูนเนี่ยค่ะ ปิดไม่ค่อยมิด อยากให้มันจางเหมือนกัน

ฝ้า กระ รักษา ยังไง  มีวิธี รักษา ฝ้า กระ ที่ได้ผลดีที่สุดหรือไม่?

Skin Vaccine มหัศจรรย์เซลล์บำบัดรักษาฝ้า กระ
ปัจจัยที่ทำให้เราเกิดปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ้า กระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ  รวมถึงเรื่องริ้วรอย จริง ๆ แล้วเกิดจากสาเหตุใด เมื่อผิวหน้าโดนแสงแดดทำลาย ผิวหน้าจะสร้างปฎิกิริยาป้องกันตัวเองขึ้นมา โดยการสร้างฝ้า กระ ขึ้นมาเพื่อป้องกันผิวจากมะเร็งผิวหนัง ซึ่งในความเป็นจริงการเกิด ฝ้า กระเป็นสัญญาณเตือนว่าต้องดูแลเองให้มากกว่านี้
 

  1. อายุประมาณเท่าไหร่ที่มักพบปัญหาเหล่านี้มากที่สุด เพราะว่าอะไร
จะเริ่มพบปัญหาฝ้า กระ ผิวหน้าไม่เรียบ และริ้วรอยได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่อายุ  30 – 40 ปีขึ้นไป โดยปัญหาผิวเหล่านี้เป็นปัญหาอันเกิดจากการที่ผิวถูกทำลายสะสมมาซักระยะหนึ่งแล้ว จนกระทั่งถึงจุดที่ร่างกายแสดงผลออกมาเพื่อให้ดูแลตัวเองให้มากกว่านี้
  1. ปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ เวลาเป็นมักเป็นง่าย แต่รักษายาก บางทีหายไปแล้วซักพักก็กลับมาเป็นใหม่ ตรงนี้เป็นเพราะอะไร

จริงๆแล้วปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นค่อนข้างยาก แต่หากเกิดขึ้นนั่นหมายถึงว่า ผิวถูกแสงแดดทำลายไปมาก เมื่ออายุยังน้อยร่างกายสามารถซ่อมแซมฟื้นตัวได้เร็ว แต่เมื่ออายุมากขึ้นการซ่อมแซมฟื้นผิวจึงทำได้ช้าลง ประกอบกับการไม่ดูแลผิว พอผิวถูกทำลายสะสม จึงเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่งผลให้รักษายาก และเมื่อรักษาหายแล้ว แต่ด้วยผิวถูกทำลายไปมาก เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพจึงมีเยอะ ผิวจึงต้องการการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

3 สาเหตุของการเกิดฝ้า กระ คืออะไร
เป็น “ปัจจัยรวมๆ” ไม่ได้มาจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง
1. ภายใน       - ยาคุม, ตั้งครรภ์
2. ภายนอก     - แสงคอมพิวเตอร์
                     - แสงแดด/ แสงไฟ
                     - ความร้อน เช่น ทำกับข้าว, Sauna, โยคะร้อน
จากกิจกรรมที่ดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดฝ้าได้ทั้งนั้น


4. ความแตกต่างของฝ้าแต่ละชนิด? : ฝ้าตื้น, ฝ้าลึก, ฝ้าเลือด
          - ขึ้นกับระดับความลึกของฝ้าด้วย
          - สาเหตุต่างกัน  วิธีการรักษาต่างกัน
          - ความยากง่ายของการรักษาจะต่างแตกต่างกัน

ฝ้าตื้น                                     
                   1. ระดับ                   หนังกำพร้า
                    2. ลักษณะ      แผ่นสีน้ำตาลเข้ม เห็นขอบเขตชัดเจน ดูเหมือนกว่า
                   3. ความยากง่ายของการทำทรีทเม้นต์ ง่ายกว่า เพราะตื้น เห็นผลเร็วตั้งแต่ครั้งแรก
ฝ้าลึก
                   1. ระดับ         หนังกำพร้า + หนังแท้
                   2. ลักษณะ      แผ่นสีน้ำตาล บางส่วนเป็นสีน้ำตาลอมเทาๆ เห็นขอบเขตไม่ชัดเจน ดูเหมือนจางกว่า
                   3. ความยากง่ายของการทำทรีทเม้นต์ ยาก ใช้เวลานานกว่าตื้น มักจะมีทั้งลึกตื้นผสมกับดำ ช่วงแรก ฝ้าตื้นหายไปจะเห็นผลช่วงหลัง เหลือแค่ลึกจะค่อยๆ หายไป

ฝ้าเลือด
                   1.ระดับ          หนังกำพร้า + หนังแท้ ผิวบางเห็นเส้นเลือดน้อย
                   2. ลักษณะ      เหมือนฝ้าลึกแต่เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยเต็มไปหมด
3. ความยากง่ายของการทำทรีทเม้นต์ ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ผิวจะค่อยๆแข็งแรงขึ้น เส้นเลือดฝอยลดลง
 
5. ฝ้าแต่ละแบบมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันอย่างไร
การรักษาให้ได้ผลต้องประกอบไปด้วย 3 ปัจจัย
                   1. การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับปัญหา และรักษาอย่างต่อเนื่อง
                   2. การใช้ยาทาภายนอกควบคู่อย่างต่อเนื่อง
                   3. การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีในระยะยาว


ฝ้าตื้น  เทคนิคในการรักษาทางการแพทย์ : 3D Laser
                    เลือกใช้ 2 มิติคือ บนและกลาง
                    ฝ้าจะกลายเป็นขี้ไคลแบบเยื่อๆ เหมือนเยื่อไผ่ ซึ่งจะค่อยๆหลุดไปใน 7 – 10 วัน
                    1 ครั้ง ฝ้าลดลง 25%
                    4 – 5 ครั้ง ฝ้าตื้นก็จะหายไปเกือบหมด
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาปัญหาผิวตามระดับชั้นผิว

ฝ้าลึก เทคนิคในการรักษาทางการแพทย์ : Revlite
                    พลังงานแสง Laser และคลื่นเสียงจะไปสั่นสะเทือน Melanin (ฝ้า) ในชั้นลึกให้กระจายเป็นเม็ดเล็กๆ
                    ฝ้าบางลง ดูจางลง
                    ทำแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเหมือนฝ้าตื้น
                    ไม่มีการลอกเป็นสะเก็ดชัดเจนเหมือนฝ้าตื้น
                    ฝ้าจะจางลงทันทีหลังทำ และเห็นชัดเจนมากขึ้นที่ 10 -18 วัน
                    อาจใช้เวลาในการรักษานานกว่า 7 – 10 ครั้ง แล้วแต่ความรุนแรง
ฝ้าเลือด เทคนิคในการรักษาทางการแพทย์ :  FEM Laser
                    พลังงานคลื่นแสงแบบอ่อนโยนต่อผิวมากที่สุด
                    จะค่อยๆ ไปลดการแตกตัวของเส้นเลือดใต้ผิว
                    หลังทำเส้นเลือดอาจไม่ได้หายไปทันที แต่ผิวหน้าจะขาวใสขึ้น
                    ทำไปเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งจะสังเกตได้ว่าผิวที่บางดูหนาขึ้นและเส้นเลือดฝอยหายไป
                    ใช้เวลารักษาประมาณ 7 – 10 ครั้ง
 
6. ทำเลเซอร์แล้วหายเลย หรือต้องกินยาและทายาร่วมด้วย
          การทำเลเซอร์ทำให้ฝ้าจางลงและหายไป แต่ไม่ได้ป้องกันการเกิดฝ้าใหม่
          ฉะนั้นการทายาเฉพาะที่ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ ระหว่างและหลังการทำการรักษาจึงมีความสำคัญมาก
 
7. จริงหรือเปล่าที่ “ฝ้ารักษาไม่หายขาด” เพราะอะไร
          จริง เพราะการเกิดฝ้าเป็นการบาดเจ็บหรือความผิดปกติใน “ระดับเซลล์”
กล่าวคือ เมื่อเกิดฝ้าในบริเวณใดบริเวณหนึ่งแล้ว หมายความว่าเซลล์ผิวบริเวณนั้นเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง หากเปรียบเทียบเหมือนคนป่วย ก็คือคนป่วยเรื้อรัง
ฉะนั้นการรักษาฝ้าแบบเดิมๆ คือการทำ Laser หรือการทายา หรือ การกินยา สามารถทำได้เพียงขจัด “ฝ้า” ส่วนเกินออกไป แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นตอก็คือเซลล์ผิวด้านล่าง ฉะนั้นเซลล์เหล่านี้ซึ่งเป็นเซลล์ที่ป่วย
เมื่อสัมผัสกับแสงแดด หรือมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ก็จะสร้าง Melanin ซึ่งก็คือฝ้าออกมาใหม่ตลอดเวลา
 
8. แล้วในปัจจุบันมีวิธีการรักษาใดที่ให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและดีต่อการเกิดฝ้าในระยะยาว
          ก็คือต้องกลับมาที่ “เซลล์บำบัด” หรือ Cellular Therapy
          คือทำอย่างไรให้เซลล์สร้างฝ้าที่ป่วยหรือบาดเจ็บเรื้อรังกลับมาเป็นเซลล์ที่แข็งแรงเหมือนเดิม
ตามทฤษฎีเซลล์ซ่อมเซลล์ จะต้องใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่มี DNA สมบูรณ์แบบมาเป็นแม่แบบในการปรับเปลี่ยนเซลล์ที่บาดเจ็บเรื้อรังเหล่านี้ให้กลายเป็นเซลล์ที่แข็งแรงในทางปฏิบัติ เราคงไม่ต้องถึงกับสกัด Stem Cell มาฉีด แต่เราจะใช้ “Biological Peptides” หรือ “เปปไทด์ชีวภาพ” ซึ่งเป็น Protein ที่จำเป็นในการปรับเปลี่ยนเซลล์ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระผลักลงสู่ใต้ผิวด้วยเครื่องมือพิเศษโดยไม่ต้องฉีด ทำให้เซลล์สร้างฝ้าแข็งแรงขึ้น การสร้างฝ้าจึงลดลง คือลดความเสื่อมในระดับเซลล์นั่นเอง
 
9. Peptide ชีวภาพคืออะไร
Bio-Peptide หรือ Peptide ชีวภาพคือ โปรตีนสังเคราะห์เลียนแบบธรรมชาติ
มีโครงสร้างและคุณสมบัติเหมือนกับโปรตีนที่สร้างจาก Stem Cell โดยตรง จึงมีประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเซลล์เสื่อมสภาพเช่นเดียวกับ Stem Cell เลย

 
10. ควรเข้ารับการรักษาบ่อยแค่ไหน
ควรเข้ารับการรักษาทุก 10 -18 วัน

ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ

ที่มาของเนื้อหา / Credit by : คุณหมอ สุนิดา ยุทธโยธิน
 

Discussion (0)