ตะลุย Russia กับหญิงแย้ ตอนที่ 2
Yaeuunws95กลับมาต่อกันกับทริปเที่ยวรัสเซีย ตอนที่ 2 กันแล้วนะจ้ะ บล็อคนี้จะยาวนิดนึง เพราะเที่ยวแน่นมากกกก บางที่ที่แย้ไปอาจจะถ่ายรูปไม่ได้ เอาเป็นว่าเอารูปบรรยากาศรอบๆมาฝากละกันนะจ้ะ
ตอนแรกไม่ได้มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยเพราะไม่เคยเห็นในสารคดีหรือในหนังเลย ปรากฎว่าดูในแผนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับฟินน์แลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย เลยแสดงว่าความเป็นยุโรปสูง ปรากฎว่ามาแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือคนจะมีความเป็นยุโรปมากกว่า ถ้าที่มอสโคว์คนที่นั่นจะหน้าบึ้งดุๆแบบรัสเซีย แต่คนเมืองนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา
ตอนที่มาเมืองนี้ไม่รู้น่าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากว่า เป็นเมืองที่สวยงามมีการวางผังเมืองที่สวยมากๆ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านเมืองจะเป็นตึกทรงเดียวกันหมด สูง4-5 ชั้น แต่ละตึกจะต้องสูงไม่เกิน 28 เมตร เพราะว่าจะไปบดบังพระราชวังต่างๆ สีของตึกจะเป็นสีเหลือง สีชมพูแล้วก็สีฟ้า จะออกสีพาสเทลๆ ดูแล้วคลาสิกมากๆ ทางยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกนั่นเอง ใครเคยไปบูคาเรส โรมาเนียก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึง
ด้วยความที่อยู่ติดทะเล จึงทำให้มีแม่น้ำลำคลองเยอะ มีสะพาน มีทั้งคลองที่ขุดขึ้นมาเป็น 10 กิโล แม่น้ำธรรมชาติ ทำให้เมืองนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามดุจภาพวาดกันเลยทีเดียว แล้วก็มีพวกเรือสำราญมาลงด้วย
ที่มหาวิหารกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทางศาสนา และจัดกิจกรรมต่างๆ ดั้งนั้นไม่ได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้ว เราก็เลยแต่งตัวอะไรก็ได้ แล้วก็สามารถถ่ายรูปข้างในได้ รวมไปถึงข้างในมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ซึ่งมหาวิหารเซนต์ไอแซคได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่สวยงามที่สุดและใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกซึ่งเป็นต้นแบบของรัฐบาลวอลชิงตันของอเมริกา มีความสวยงามมาก มีภาพเขียนจิตรกรรมเฟรสโก้อยู่ตามผนัง และกระเบื้องโมเสคที่เอามาเรียงกันกลายเป็นรูปภาพ
ส่วนอันนี้เป็นซุปของเขาแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ซุปที่อารมณ์คล้ายๆเย็นตาโฟ แต่ที่นี่จะกินแบบใส่ซาวครีมเข้าไป ตอนไม่ใส่ก็น่ากินอยู่หรอก แต่พอใส่ปุ้บคนแล้วเละเลยจ้า แต่ชิมแล้วก็อร่อยไปอีกแบบ
ส่วน Main Course ของมื้อนี้อารมณ์เหมือนแกงจืด ข้างในผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีในนี้ ต้มจนเปื่อย ข้างในเป็นหมูหมักปรุงรส อร่อยเหมือนแกงจืดบ้านเราเลย ปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นเครปแครนเบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมไอศครีมวนิลา ราดด้วยน้ำผึ้งสด
จากนั้นไปเมืองพุชกิ้น หรือรู้จักกันในชื่อ ซาโก เซโล ที่นี่เป็นที่พักในฤดูร้อนของราชวงศ์โรมานอฟ สวยงามมากๆ และเป็นบ้านที่รักและโปรดปรานของสมาชิกครอบครัวโรมานอฟทุกพระองค์ เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ก็คือเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1917 พระเจ้านิโคลัสที่ 2 พร้อมสมาชิกในราชวงศ์ ทั้งภรรยาและลูก 4 คน ถูกจับตัวจากกลุ่มของคณะปฎิวัติ กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าสุดท้ายของเมืองพุชกิ้นและราชวงศ์โรมานอฟที่ยาวนานกว่า 200 ปี
ภายในเป็นอาคาร 2 ชั้น มีห้องพักผ่อน 50 ห้อง ภายในห้องสวยงามมาก แต่จะไม่ได้เปิดให้ชมทุกห้อง เพราะกำลังรื้อทำใหม่เนื่องจากว่าโดนระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1944 จึงต้องมีการรีโนเวทใหม่ ความอลังการอาจจะน้อยลง เนื่องจากไม่มีกษัตริย์อาศัยอยู่แล้ว ส่วนพื้นแบบ Original จะมีแค่บางห้องเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกทำลายด้วยระเบิด ซึ่งก็อนุญาตให้สวมหมวกได้ แต่ว่าต้องสวมรองเท้าพลาสติกเพื่อเป็นการถนอมพื้นของเค้า
พูดถึงการตกแต่งของพระราชวังนี้โดยรวม หน้าต่างจะประดับประดาไปด้วยกระจกเยอะ เพื่อให้ห้องดูใหญ่ขึ้น และบางคนสามารถเข้าไปจัดงานเลี้ยงได้ แต่ต้องเป็นคนสำคัญพอสมควร อย่างเช่น เอลตัน จอห์น เคยมาจัดคอนเสิร์ทที่นี่ แต่ราคาค่าเช่าห้องแพงมาก หลักหลายล้านเลยทีเดียว
กลับมาเรื่องการตกแต่งก็จะมีการปิดทองอร่ามบนไม้แกะสลักลวดลายสวยๆ ตามรูปแบบศิลปะบารอคที่เวอร์วังอลังกาา ส่วนห้องที่เป็นไฮไลท์แย้รู้สึกว่าจะมี 2 ห้อง คือห้องอาหารที่เป็นสีเขียว ซึ่งแย้ไม้ได้ถ่ายโต๊ะอาหารมา เนื่องจากติดนักท่องเที่ยวเยอะมากก็เลยถ่ายเฉพาะผนังมาที่เป็นสีเขียวพาสเทล เค้าบอกว่าเป็นห้องอาหารค่ำสีเขียวที่ออกแบบมาแบบศิลปะคลาสิก ให้โทนสีสว่าง แล้วก็มีพวกปูนปั้น แกะสลักสวยงาม มาตกแต่งอยู่ภายในห้องนี้
โดยเฉพาะในส่วนของน้ำพุ ที่ลดหลั่นกันถึง 27 ขั้น ซึ่งน้ำพุนี้ไม่ได้ใช้ปั้มน้ำแต่อย่างใด แต่เป็นแรงดันธรรมชาติ เรียกว่าพุ่งกระจายมากๆเลย แล้วก็จะมีคลองขุดก็จะพาน้ำจากน้ำพุไปสู่ทะเลบอลติก
น้ำพุนี้สร้างขึ้นเพื่อยินดีต่อชัยชนะ และยกย่องในความกล้าหาญของทหารชาวรัสเซียและทหารเรืออันยิ่งใหญ่ น้ำพุนี้ตกแต่งด้วยรูปปั้นถึง 255 ชิ้น มีน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดและรูปปั้นแซมซันกำลังง้างปากสิงโตที่มีชื่อเสียง สูง 21 เมตร เป็นฝีมือของสถาปนิกชื่อดัง เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 15 ปี แห่งชัยชนะเหนือสวีเดน
ส่วนในพระราชวังสวยงามมาก ซึ่งข้างในวังห้ามถ่ายรูปอีกแล้วนะจ้ะ แต่สวยงาม อร่ามตามากๆ เรียกได้ว่าสวยกว่าพระราชวังแคทเธอรีนอีก ซึ่งพระราชวังนี้ ประกอบไปด้วยห้องพักผ่อน 26 ห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องเต้นรำที่หรูหราฟู่ฟ่าซึ่งเป็นศิลปะแบบบารอค และมีห้องท้องพระโรงใหญ่ ที่ใหญ่สุดในพระราชวัง และยังมีห้องที่แสดงรูปภาพของศิลปินชาวอิตาเลียนอีกจำนวน 368 รูป
พักทานอาหารท้องถิ่น จานแรก โคลวสลอว์ มีส่วนผสมของแตงกวา แย้ไม่สามารถรับประทานได้จริงๆ เพราะว่ากลิ่นแตงกวาแรงมาก ถัดมาเป็นซุปฟักทองลืมถ่ายจ้าหิวจัด
ส่วน Main Course เป็นเหมือนข้าวหมก รสชาติใกล้เคียงกันมากแต่จะจืดๆ เสิร์ฟเคียงกับไก่ครีมซอสเห็ดไฮไลท์อยู่ที่ของหวานอารมณ์เหมือนเอแคร์ ไส้ในเป็นไส้ครีม ด้านนอกเป็นขนมปังออกจะแข็งๆนิดนึง
พอทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ไปที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ หรือ สมัยก่อนเป็นพระราชวังฤดูหนาว จะอยู่ในเมือง จะประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง สร้างเชื่อมต่อกัน ทำให้พระราชวังนี้มีเนื้อที่กว้างใหญ่มาก เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซียเลย
พระนางแคทเธอรีนที่ 1 ได้ทรงซื้อภาพเขียนจากยุโรปกว่า 250 ชิ้น แต่ตอนที่พระนางได้ทรงซื้อภาพเขียนมาก็ไม่ได้ให้ใครดู ทรงเก็บไว้ดูส่วนพระองค์เอง เค้าบอกว่าภาพเขียนเหล่านี้จะมีแค่หนูกับพระนางแคทเธอรีนเท่านั้นที่ได้ดู แต่พอพระนางแคทเธอรีนสวรรคตในปี 1796 มีของสะสมอยู่มากมาย โดยเฉพาะภาพเขียนที่ทรงโปรดปรานมากกว่า 3,000 ภาพ เหรียญโบราณและอัญมณี
จะมีภาพที่เป็นของจิตรกรก้องโลกคือ เลโอนาร์โด ดา วินชี คือภาพThe Benios Madonna และภาพ Madonna Litta ก็ได้ถูกจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย และรูปแกะสลักเด็กผู้ชายกำลังครุ่นคิด หรือ Crouching Boy ของไมเคิลแองเจโล
ง
แล้วก็จะมีนกยูงทอง มันคือนาฬิกานั่นเอง ตัวบอกเวลาในสมัยก่อน และภาพบัลลังค์สีแดงนั่นคือบัลลังค์ของพระนางแคทเธอรีน ส่วนภาพที่เป็นพานอันใหญ่ก็คือแจกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพดานตกแต่งด้วยไม้แกะสลักเคลือบทองบางๆ ที่เห็นเป็นรูปนกอินทรีย์สองหัวคือสัญลักษณ์ของประเทศรัสเซีย และยังมีภาพที่ทำจากประเบื้องโมเสค มีรูปนึงที่แย้ฮามาก เป็นหญิงโรมันเปลื้องผ้า มีกล้ามท้องเล็กๆ กำลังทำ Selfie อยู่ (แย้คิดเอง)
อย่างที่สองเป็นเครปกับ Red Caviar ซึ่งมันคือไข่ปลาแซลมอนนั่นเอง เวลาทานเราก็เราก็เอาเครปมากาง แล้วเราก็เอาไข่ปลาแซลมอนกับเนยใส่ลงไปบนเครป เค้าให้เครปมา 3 ชิ้น แต่แย้กินได้แค่สองชิ้นเพราะไส้หมดก่อน เราเน้นใส้ไม่เน้นแป้งนะจ้ะ ถือว่ารสชาติใช้ได้
ส่วนซุปฟักทองก็เผลอลบรูปไป จานนี้ต้องปรุงรสหน่อย เพิ่มน้ำตาล เกลือ พริกไทยลงไป ส่วน Main Course ก็เป็นสเต็กหมูกับผักต้มงุงิ งุงิ ราดด้วยน้ำอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่มีรสชาติเลย สุดท้ายแย้ต้องเอาซอสมะเขือเทศมาฟีจเจอริ่ง ปรุงซะเละตุ้มเปะไปหมดเลย แต่จริงๆแล้วรสชาติหมูเค้าโอเคนะจ้ะ หอม นุ่มดี
จานสุดท้ายเป็นขนมหวาน แต่ว่าตัวเค้กเหมือนมีธัญพืชข้างใน ไม่รู้ว่าใส่ใบกัญชารึปล่าว เอ้ย!!! แต่คงไม่ใช่นะจ้ะ แล้วก็มีซอสเชอร์รี่กับสับปะรดแช่อิ่ม รสชาติอร่อย แย้กินแต่ใส่กับช็อคโกแลตข้างบน ตัวที่เป็นเค้กหญิงแย้ไม่เอาเลยเพราะพยายามเลี่ยงแป้ง แต่น้ำตาลไม่เลี่ยง เอ๊ะ? กร้ากๆๆๆๆ
ระหว่างการแสดงก็จะมีพักครึ่งด้วย ก็จะมีออเดิร์ฟ ขนมปัง ซาลามี่ ไข่ปลาแซลมอน ชีส อีกอันที่แย้ไม่ได้เอามาก็คือแฮมกับมะกอกดอง ที่เจ๋งมากๆก็คือแก้วไวน์ ปกติงานเลี้ยงคอกเทลจะมีปัญหาที่ว่า ถือจาน 1 มือ อีกมือนึงถือแล้ว อ่าว แล้วจะกินยังไง เอาปากงาบแบบน้องหมาอ๊ะเปล่า!!? แต่อันนี้เค้าจะมีที่คีบวางแก้วมา แปะมากับจานเลย สามารถที่จะสวมแก้วแชมเปญลงไปได้เลย เรียกว่าเกิดมาไม่เคยเห็นเลยจริงไอเดียนี้ ควรจะมีโรงแรมในเมืองไทยเอาใช้ มันเยี่ยมจริงๆสำหรับงานคอกเทลต่างๆแบบนี้
กลับมาโรงแรมมีปาร์ตี้ขนมเล็กน้อย กรุบกริบๆ ก็คือเลย์รสอะไรไม่รู้เป็นภาษารัสเซียหมดเลย น่าจะเป็นอารมณ์ของหมักดองอะไรประมาณนั้น รสชาติเข้มข้นดี ส่วนเลย์รสข้างบนเปนเลย์รสซาวน์ครีมไม่ใช่หัวหอม แต่เป็นต้นหอมแทน รสจัดมากกว่าและกลิ่นแรงว่าซาวน์ครีมหัวหอมของเมืองไทยมาก โอเคอร่อย ซองสีเขียวจะเป็นต้นหอม กลิ่นและรสก็เป็นต้นหอม กินแล้วปากเหม็นไปถึงเช้าเลยทีเดียว ส่วนสีฟ้ารสเฮิร์ป เดี๋ยวเก็บไปกินที่เมืองไทย รสชาติเป็นยังไงไว้มาบอกอีกที
มาที่เบียร์กันบ้าง ยี่ห้ออะไรไม่รู้ แต่อร่อยมาก รสชาตินุ่มนวล ไม่บาดปาก ซื้อที่มินิมาร์ทใกล้ๆโรงแรม ไปซื้อตอนประมาณ 4 ทุ่ม คือฟ้ายังไม่มืดเลย แต่ว่าคนน่ากลัวมาก คือแบบว่าเป็นผู้ชายผู้หญิงตัวใหญ่ๆ ไม่รู้เค้าจะอะไรยังไงรึปล่าว คือรัสเซียเป็นประเทศที่ค่อนข้างน่ากลัวนิดนึง จะออกไปข้างนอกตอนกลางคืนก็ควรไปด้วยกันหลายๆคนนะจ้ะ เป็นอันจบวันที่ 5 แล้วจ้าา
มาถึงวันสุดท้ายแล้ว ตอนเช้าก็เลยไปถ่ายรูปเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึก กับโบสถ์หยดเลือดค่ะ เป็นโบสถ์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงสร้างขึ้นบริเวณที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 หรือพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์ เพื่อที่จะเป็นอนุสรณ์แก่พระบิดานั่นเอง รูปแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์หยดเลือด จะเป็นสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ลักษณะรูปทรงคล้ายเซนต์เบซิลที่มอสโคว์เลย
รูปที่พี่หมอยืนอยู่ก็เป็นห้างสรรพสินค้าที่เปิด 24 ชม. เลยทีเดียว ลักษณะเหมือนเทสโก้โลตัส พอเข้าไปข้างในก็ตั้งทุกอย่างเหมือนเทสโก้โลตัสเป๊ะ ด้วยการตกแต่งสีเขียวเป็นหลัก และของก็ถูกมากๆ เพราะเป็นของที่คนท้องถิ่นต้องใช้สอยในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว มีถ่ายรูปมาน่ารักมากเป็นน้ำตาลยี่ห้อแมวน้ำ ชอบก็เลยแอบถ่ายมา จริงๆแล้วในซุปเปอร์มาเกตเค้าจะไม่ค่อยให้ถ่ายเท่าไหร่
นี่ก็เป็นภาพใน Lounge Business ในสนามบินของที่นี่ ใครที่บินการบินไทยไป ก็ต้องมานั่งชิลล์กันที่นี่ รอเครื่องจากมอสโคว์กลับไปยังเมืองไทย และดิวตี้ฟรีที่นี่ ไม่ควรซื้ออะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างแพงกว่าไทยหมดเลยโดยเฉพาะน้ำหอม และไม่มีของแบรนด์อะไรเลย แนะนำว่าถ้าจะซื้อให้ไปซื้อที่ห้าง Gum ดีกว่านะจ้ะ
เป็นยังไงบ้างกับหญิงแย้พามาตะลุยรัสเซีย ประทับใจกับทริปนี้มาก ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมเข้ามาอ่านทริปพาเที่ยวรัสเซียของหญิงแย้ หวังว่าจะชอบกันนะจ้ะ ขอลาไปแล้ว คราวหน้าหญิงแย้จะพาไปตะลุยเที่ยวที่ไหน ติดตามกันด้วยนะจ้ะ
* รีวิวนี้ไม่มีสปอนเซอร์จ้า
Discussion (5)
อยากไปเที่ยวเเบบนี้บ้างจังค่ะ ^^
สวย น่าอิจฉาคนมีตังค์จิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สวยยมากกก
น่าสนุกมากๆ
ขอบคุณที่มาแชร์นะคะ ^^
อยากไปเที่ยวมากเลยยยค่าาาาาา
สวยมากกกกกกก...ทั้งคนทั้งสถานที่เลย
สวยมากกกกกกก...ทั้งคนทั้งสถานที่เลย
ติดตาม ภาพใน ไอจี และวีดีโอโซเชี่ยลพี่แย้ ชอบมากค่ะ นางน่ารักกก 5555555555555 อุว่้ะฮ่ะฮ๊าาา (เสียงขำพี่แย้)