Nobody is perfect Part III

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า เรากำลังอยู่ในโลกที่ถูกมอมเมาไปด้วยวัฒนธรรมการรีทัชให้มนุษย์ดูสวยหล่อเกินจริง  และมันได้ชักจูงให้ผู้คนหมกมุ่นกับรูปลักษณ์เพอร์เฟ็คท์เหมือนนางแบบบนปกแม็กกาซีน หลายคนได้ทุ่มเททุกๆทางที่จะดูดีได้อย่างเซเลบ โดยที่จริงแล้ว...มันก็มีนะ..ช่วงเวลาที่คนดังเหล่ามีปัญหาเรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากเราๆ จนดูไม่เป๊ะอย่างที่คิดกัน มาชมกันสิคะ

Discussion (40)

คุณแคนดี้ทิ้งท้ายไว้ดีจังค่ะ : )
ติดตามทุกโพสต์ค่า 
ชอบอ่านกระทู้พี่มากค่ะ เขียนต่อไปนะคะ จะติดตาม ^0^
การโพสต์เรื่อง Flaw ของคนดังนั้น หาใช่เป็นการเอาปมด้อยคนอื่นมาพูดให้สนุกปาก หรือกดหัวเขาให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมการรีทัชนั้น ช่างมีอิทธิพลต่อค่านิยมความงามในปัจจุบัน จนคนเราลืมคิดไปว่า ไม่มีใครหรอกที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง และตัวคนดังส่วนมากเอง ก็ออกมาพูดเรื่องนี้อย่างเปิดใจ ไม่ว่าลอร์ด ที่ไม่ปิดบังว่าเธอกำลังรักษาสิวอยู่และได้ถ่ายรูปคู่กับแฟนๆทั้งๆที่ไม่ได้แต่งหน้ากลบรอยสิว เจสสิก้า อัลบ้า ที่บ่นๆเรื่องหน้าอกที่หย่อนยานลงและรอยแตกลายหลังคลอด เทย์เลอร์ สวิฟท์ ที่ยอมรับว่าเคยเซ็งกับผิวที่ขาวซีดของตัวเอง แต่ในที่สุดก็ยอมรับความงามแบบตัวเองได้ และยังมีอีกเยอะที่เปิดใจกับเรื่องflaw และพวกเค้าก็ได้หาทางแก้ไข หรืออำพรางจุดด้อยเหล่านั้น  ทำให้เราเห็นพัฒนาการความสวยความงามที่น่าสนใจ  อยากให้มองที่ประเด็นพวกนี้มากกว่าค่ะ
เคท มอส เธอคือตำนานแห่งแฟชั่น และได้สร้างความปั่นป่วนด้วยคำพูด nothing tastes as good as skinny feels   และแน่นอน เธอคงความผอมไว้ได้เป็นสิบๆปี แต่เธอหยุดเซลลูไลท์ไม่ได้ 

ปกติถ้า supermodel มีเซลลูไบท์ให้เห็นโดยเฉพาะบนรันเวย์จะถูกสับเละ แต่เคท มอสคือ มีอิทธิพลไง ดีไซน์เนอร์ดังก็ออกมาออกตัวแทน


หรือจะเป็น แอนน์ วี