ภาวะติดเชื้อราในช่องคลอด แก้ไขได้ด้วยจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัส
sakulla21แวะมาแชร์เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ค่ะ
สภาวะติดเชื้อราในช่องคลอด หมายถึงภาวะที่เชื้อราที่มีชื่อว่า แคดิดา แอลบิแคนส์ (Candida Albicans) เติบโตมากผิดปกติ จนทำให้มีอาการคันและตกขาวบริเวณช่องคลอดหรือปากช่องคลอด และสาเหตุของการติดเชื้อนั้นอาจจะเกิดจากการสวมใส่ชุดชั้นในที่ไม่สะอาดหรือตากในที่อับแบบไม่โดนแสงแดด การใส่ชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีเหงื่อเยอะจะทำให้เกิดความอับชื้นในจุดซ่อนเร้นเยอะมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้อาจจะเกิดจากภาวะร่างกายที่อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ และต้องรับประทานยาปฏิชีวนะนานๆ ซึ่งจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสนี้จะสามารถเข้าไปช่วยปรับสมดุลให้กับภายในช่องคลอดของเรา และวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดเชื้อราได้รวมถึงการใช้จุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสมีดังต่อไปนี้
วิธีป้องกัน
1. กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ เพื่อเพิ่มแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด จะสามารถช่วยลดอัตราการเป็นเชื้อราในช่องคลอดได้
2. ผ่อนคลายจากความเครียดเพราะความเครียดนั้นเป็นสาเหตุให้โรคกำเริบขึ้นได้
3. หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงชั้นในที่รัดแน่นจนเกิดไป ควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายและระบายอากาศได้ง่าย
4. การทำความสะอาดนั้น ควรใช้น้ำสะอาดเท่านั้น
5. การใช้ยาเหน็บบริเวณช่องคลอด เพื่อปรับสมดุลจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสให้เป็นปกติเชื้อราจะไม่เกิดขึ้นอีก
ยาเหน็บที่แนะนำเป็น
1. กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ เพื่อเพิ่มแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด จะสามารถช่วยลดอัตราการเป็นเชื้อราในช่องคลอดได้
2. ผ่อนคลายจากความเครียดเพราะความเครียดนั้นเป็นสาเหตุให้โรคกำเริบขึ้นได้
3. หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงชั้นในที่รัดแน่นจนเกิดไป ควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายและระบายอากาศได้ง่าย
4. การทำความสะอาดนั้น ควรใช้น้ำสะอาดเท่านั้น
5. การใช้ยาเหน็บบริเวณช่องคลอด เพื่อปรับสมดุลจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสให้เป็นปกติเชื้อราจะไม่เกิดขึ้นอีก
ยาเหน็บที่แนะนำเป็น
Gynoflor (ไกโนฟลอร์) เป็นตัวยาชนิดเม็ดเพื่อเหน็บช่องคลอด วิธีการใช้แค่นำเม็ดยามาเหน็บบริเวณช่องคลอดก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 6-12 วันติดต่อกัน (แต่ให้งดใช้ช่วงมีประจำเดือน) เมื่อเหน็บแล้วยาจะเริ่มออกฤทธิ์ด้วยการเพิ่มแลคโตบาซิลัสเพื่อปรับค่า PH ภายในให้ลดลง
ยานี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
Credit: http://www.medinova.ch/fileadmin/_userfiles/PDFs/Gynoflor_PIL-806-CH-2012-02_eng.pdf
Discussion (1)