รีวิวเจาะลึก ซีรัมวิตซี 15% จาก Dr.Jessica Wu
LadyMiyeon43สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆชาวจีบันทุกๆท่าน ช่วงนี้มาบ่อย อย่าพึ่งเบื่อกันนะคะ - -*
วันนี้มี่แวะเอาวิตซีตัวหนึ่งมารีวิวแบบเจาะลึกถึงทุกอณู ทุกองค์ประกอบ ให้ชมกันค่ะ
ถ้าเราแบ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มวิตซีในตลาด จะแบ่งได้เป็นสองกลุ่มหลักๆค่ะ กลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใช้วิตซีในความเข้มข้นสูง เช่น 10% 12.5% 15% ฯลฯ ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มที่มีวิตซีเป็นส่วนประกอบอยู่ ซึ่งความเข้มข้นก็จะไม่ได้สูงมาก
คุณสมบัติของวิตซีต่อผิวหนังก็มีอยู่หลายๆเรื่อง เช่น
1.การต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากมลภาวะ หรือความเครียด เป็นตัวชะลอความเสื่อมของผิว 2.วิตซีสามารถลดการสังเคราะห์เม็ดสีผิวได้3.วิตซีเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในขั้นตอนการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว
ดังนั้นวิตซีโดยรวมๆจะให้ผลอยู่สามอย่างหลักๆ คือ ชะลอวัย ไวท์เทนนิ่ง และลดริ้วรอย
ถึงแม้ว่าสรรพคุณจะเลิศหรู แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ เพราะถ้าเราเอาวิตซีแบบปกติมาทาผิวเลยเนี่ย มันจะดูดซึมเข้าไปในผิวได้แค่ 3% ของที่ทาเอง (เช่น ทาไป 100 มิลลิกรัม ก็เข้าไปแค่ 3 มิลลิกรัม) ต้องอาศัยเทคนิค เทคโนโลยีพิเศษถึงจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้
ปกติมี่ยังไม่เคยใช้วิตซีในความเข้มข้นสูงๆมาก่อนค่ะ ตัวนี้เป็นตัวแรกเลยค่ะ แรกเริ่มเดิมที ทาครั้งแรกก็กลัวว่าจะแสบหรือเปล่า แต่พอทาจริงๆไม่เลยค่ะ รู้สึกเรียบเนียนผิวดี
เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ ซีรัมวิตซีชิ้นที่ว่านี้ก็คือ
Dr. Jessica Wu Vivid Intense 15% Vitamin C Serum Professional Strength
มาในขวดสีเงินดูแพง ขวดเล็กๆ ขวดละ 10 ml ทางแบรนด์กะว่าขวดหนึ่งให้ใช้ 1-2 สัปดาห์ ข้อดีของการแบ่งเป็นขวดเล็กๆแบบนี้เพราะว่า วิตซีเวลาโดนอากาศมันจะเสื่อมเร็ว ถ้าทำมาในขวดใหญ่ๆ มันก็จะค่อยๆเสื่อมไป แต่พอมาขวดเล็กๆ เปิดใช้ไปทีละขวดๆ มันก็จะยืดอายุวิตซีให้อยู่ได้นานกว่า
พอได้ลองครั้งแรกรู้สึกแปลกใจนิดนึง เพราะ Serum เข้าใจว่าน่าจะเป็นแบบใสๆ แต่พอกดออกมา เป็นเนื้อครีมค่ะ เป็นครีมสีขาวขุ่น เนื้อเนียน เกลี่ยง่าย ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ
พอทาแล้วจะดูดซึมค่อนข้างเร็ว ไม่เห็นความมัน หรือคราบตกค้างบนผิว
ถ้าเทียบกันสองฝั่งจะเห็นว่าไม่ค่อยต่างกันมาก และไม่ได้มันเหมือนเท่าที่คิด
ลองวัดค่า pH นิดนึง เพราะถ้าใส่วิตซีมาเยอะๆ ค่า pH น่าจะต่ำ
ค่า pH ที่วัดได้ค่อนไปที่ 5 ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี ไม่ได้เป็นกรดมากเหมือนที่คิดไว้ น่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยีการเก็บกักวิตามินซีไว้ (เรียกว่า Encapsulation) ทำให้ความเป็นกรดของวิตามินซี ถูกห่อหุ้มไว้ในเปลือกของสาร ไม่ส่งผลต่อค่า pH โดยรวม จึงระคายเคืองผิวน้อยนั่นเอง
แต่พอเราทาผิว พวกเปลือกของแคปซูลที่เก็บกักวิตซีไว้ก็จะละลาย แล้วปลดปล่อยวิตซีออกมาในผิวนั่นเอง
ลองมาดูส่วนผสมดีกว่า
ส่วนผสม
Water, Ascorbic acid, Ascorbyl tetraisopalmitate, Cetyl ethylhexanoate, Neopentyl Glycol dicaprate, Sodium acrylates/Beheneth-25 methyacrylate crosspolymer, Hydrogenated polydecene, lauryl glucoside, Glycerine, Aloe leaf juice, Panthenol, Lactic acid, Phenoxyethanol, Ethylhexyl glycerin, Fragrance
ส่วนประกอบผลิตภัณฑ์
ปกติเครื่องสำอางจะประกอบด้วยส่วนสำคัญๆ อยู่ 3 ส่วนหลักๆ คือ
1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ
ลองมาไล่ไปทีละตัวเลยดีกว่า
คุณสมบัติสารแต่ละตัวแยกตามหน้าที่
1.Actives ได้แก่
-Ascorbic acid กับ Ascorbyl tetraisopalmitate (ย่อว่า VC-IP) เป็นวิตามินซี และอนุพันธ์ที่เอามาจับกับไขมัน เพื่อเพิ่มคุณสมบัติการละลายไขมัน การดูดซึม และระยะเวลาการออกฤทธิ์ ประมาณว่า ตัวแรกที่เป็นรูปแบบธรรมชาติ ทาเข้าไปก็ออกฤทธืได้เลย แต่พอเป็น VC-IP ก็จะต้องผ่านกระบวนการ Metabolism โดยผิวก่อนถึงจะออกฤทธิ์ได้ อันนี้ไม่แน่ใจว่า สองตัวนี้รวมกันให้เนื้อวิตซี 15% หรือว่าเฉพาะ Ascorbic acid ใส่มา 15% เลย แล้วเสริมตัวนี้เข้ามาอีกที ประโยชน์ของวิตซีก็จะเป็นเรื่อง Antioxidant, Whitening และก็เรื่องริ้วรอย โดยวิตซีไปเป็นตัวช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน
-Aloe leaf juice คือ น้ำคั้นจากว่านหางจระเข้ ให้ผลเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น
-Panthenol คือ วิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยตัวมันเองสามารถซึมเข้าสู่ผิวและดูดน้ำเข้ามาเก็บไว้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ลดการอักเสบ เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิว ช่วยเรื่องการสมานแผล และลดริ้วรอย ซึ่งคุณสมบัติในการเป็น Moisturizer ของ Panthenol มีรายงานตีพิมพ์รองรับ คือ สามารถช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผิวหนัง ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิว รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ (J Cosmet Sci. 2011; 62(4):361-70.)
-Lactic acid เป็นสารในกลุ่ม AHA ที่ได้จากการหมักนมด้วยจุลินทรีย์บางชนิด การออกฤทธิ์ขึ้นกับค่า pH โดยอาจจะให้ผลเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น หรือ ผลัดเซลล์ผิว สำหรับในที่นี้คิดว่าน่าจะทำหน้าที่เป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น เพราะค่า pH อยู่ที่ 5 ตัว Lactic acid จะกลายสภาพเป็น Lactate ซึ่งเป็นสารดูดน้ำตัวเดียวกับที่มีในผิว มันจะซึมลงไปในผิว และไปคอยอุ้มน้ำให้ผิว
2.Base มีทั้งน้ำและน้ำมัน จึงเป็นรูปแบบที่เรียกว่า Emulsion ดังนี้
2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Glycerin, Ethylhexylglycerin ตัวนี้มีฤทธิ์ระงับเชื้อได้ด้วย
2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่
- Cetyl ethylhexanoate เป็น Fatty ester เคลือบผิวได้บางส่วน ดูดซึมได้บางส่วน มีสัมผัสที่ไม่เหนอะหนะ
- Neopentyl glycol dicaprate แม้จะเป็นสารกลุ่ม Glycol แต่เนื่องจากสายไขมันที่ยาวทำให้สารนี้ละลายในน้ำมัน ให้ผลเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น และดูดซึมได้บ้าง
- Hydrogenated polydecene ให้ผลเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น
หลายๆคนอาจจะบอกว่า ไม่เอาน้ำมัน แต่จริงๆน้ำมันก็เป็นสิ่งจำเป็นกับผิวอย่างมาก
3.Additives ได้แก่
3.1 Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Lauryl glucoside มีคุณสมบัติที่อ่อนโยน สามารถช่วยผสานน้ำให้เข้ากับน้ำมันได้ดี
3.2 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Sodium acrylates/Beheneth-25 methyacrylate crosspolymer เป็นสาร Polymer ที่ทำหน้าที่เป็น Emulsifier ได้ด้วย
3.3 Preservatives ได้แก่ Phenoxyethanol, Ethylhexyl glycerin ซึ่งเป็นชนิดที่อ่อนโยน
3.4 สารแต่งกลิ่น Fragrance มีกลิ่นหอมหวานๆอมเปรี้ยวเหมือนส้มเกรฟฟรุต ทาแล้วสดชื่นดี
ถึงเวลาให้คะแนน
1. Actives นอกเหนือไปจากวิตามินซี 2 รูปแบบ ก็ยังมี Aloe leaf juice ที่ให้ผลเรื่องความชุ่มชื้นมา กับ Panthenol และ Lactic acid ที่เน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นอีก โดยรวมแล้วก็ถือว่าโอเค เพราะก็ถือว่าครบหมดทั้ง Antioxidant, Moisturizer, Anti-aging ในที่นี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
2. Base ส่วนของ Emulsion ที่ดีควรจะประกอบด้วยสารดูดน้ำให้ผิว ซึ่งสูตรนี้มี Glycerin กับ Ethylhexylglycerine มีสารไขมันเคลือบคลุมผิว แต่ยังขาดสารไขมันจากธรรมชาติอยู่ จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
3. Additives สารที่ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แล้วมีประโยชน์เสริมให้ผิวในด้านของความชุ่มชื้น ไม่มีพาราเบน ไม่มีซิลิโคน แต่มีน้ำหอม อาจจะทำให้บางคนแพ้ได้ ซึ่งปกติมี่ก็ไม่เคยหักคะแนนหักคะแนนน้ำหอมใน Skincare ทั่วไปมาก่อนยกเว้นพวก Eye care จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
4. คะแนนการใช้งาน หลังจากลองใช้มาได้เกือบสองอาทิตย์ รู้สึกว่าผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวที่ลอกๆอยู่ ลอกน้อยลง ส่วนตัวมี่ไม่แพ้ ไม่ระคายเคือง ไม่แสบ ไม่ร้อน ไม่แดง ขอให้คะแนนความประทับใจในการใช้งาน 5 ฟลาสก์ค่ะ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางบริษัท DermaMD ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ
สำหรับวันนี้มีแค่นี้ค่ะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบนะคะ สวัสดีค่ะ
Discussion (3)