บทที่ 7 การฉายแสง และผลข้างเคียงของการรักษาร่างกาย ที่นำมาสู่การรักษาจิตใจ

เมื่อผ่านไป 3 อาทิตย์หลังทำคีโมครั้งสุดท้ายแล้ว ก็จะมาถึงการรักษาด้วยวิธีการฉายแสงค่ะ การฉายแสงคืออะไร การฉายแสงคือการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการฉายรังสีเฉพาะจุดที่เราตรวจพบ เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง ในกรณีมะเร็งเต้านมแบบของเรานี้ หมอจะนัดให้เราตรวจ เอาปากกามาวาดบริเวณที่จะฉายแสง จากนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้หมึกเจนเฉี่ยน (ที่ใช้มาร์คจุดสำหรับการผ่าตัดทั่วไป) มาขีดทับเส้นที่หมอร่างไว้ให้ หมอจะพิจารณาว่าจะใช้รังสีชนิดใดรักษา และต้องทำกี่ครั้ง โดยของเราหมอให้มาทำฉายแสงทั้งหมด 16 แสง โดยต้องมาโรงพยาบาลทุกวัน ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ การฉายแสง เราจะต้องไปนอนบนเครื่องฉายรังสี แล้วเจ้าหน้าที่จะปล่อยให้เรานอนฉายรังสีอยู่ตามลำพัง ใช้เวลาวันละประมาณ 5 นาที (ความนานนี่แล้วแต่ระยะที่เป็น และตามวินิจฉัยของหมอค่ะ)

เราเริ่มฉายแสงครั้งแรกวันที่ 10 ก.พ. 59 และถ้าแผนการรักษาเป็นไปตามที่คาด ก็จะแล้วเสร็จต้นเดือนมี.ค. 59 คร่าว ๆ แล้วใช้เวลาประมาณ 1 เดือน กับการต้องไปโรงพยาบาลทุกวันๆ เพื่อที่จะทำการรักษาตัวเอง การฉายแสงนี่เราก็มีผลข้างเคียง ที่ทางรพ.ทำคู่มือมาให้ดูเยอะแยะมากมาย เช่น

  • 1.อาเจียน (เราไม่มีอาการนี้ค่ะ)
  • 2.กลืนอาหารลำบาก (เราเป็นแค่วันเดียว)
  • 3.ปอดติดเชื้อ หรือปอดอักเสบ (กรณีนี้ต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง อาการอาจจะเกิดขึ้นหลังจากการรักษาเป็นปีก็ได้)
  • 4.ภาวะไหล่ติด (ต้องบริหารแขนตลอดชีวิต)
  • 5.ผิวไหม้ (เราเป็นค่ะ ไหม้เป็นแถบ ต้องทาครีมฟื้นฟูสภาพผิวภายหลัง)
และเมื่อทำการฉายแสงครบ 1 อาทิตย์ ก็ต้องให้หมอดูบริเวณที่ฉายแสงว่ามีแผลมั้ย เพื่อจะวางแผนการรักษาต่อไปแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์ แต่ของเราดีหน่อยที่สามารถรักษาตามแผนกำหนดการเดิมได้

มีหลายคนบอกว่า การฉายแสง จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาแบบเคมีบำบัดมาก ในเคสของเรานอกจากอาการที่เป็นแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เป็นอะไรมาก เราสามารถขับรถไปโรงพยาบาลเพื่อฉายแสงได้เองทุกวัน (แอบภูมิใจในตัวเองเล็ก ๆ ) สามารถเดินออกกำลังกายบริหารแขนในหมู่บ้านได้ทุกเย็น ทำงานบ้าน ทำกับข้าว วาดรูป เล่นเน็ต แต่ก็ควรอยู่ในบ้าน เพราะพยาบาลแนะแนวหน้าห้องแนะนำว่าช่วงนี้ไม่ควรออกแดด เวลาจะออกไปไหนก็ยังต้องใส่หมวก ใส่มาร์ก และก็ต้องกินอาหารแบบระมัดระวังโดยเฉพาะ ของร้อนจัด เผ็ดจัดอันนี้ห้ามขาด (ส้มตำนี่อดเลย)

แล้วเนื่องจากช่วงนี้ลางานเพื่อมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน เวลาอยู่บ้านคนเดียว นี่ก็แอบจิตตก คิดไปสารพัดเรื่อง บางทีการอ่านข้อมูลเรื่องโรคที่เราเป็นก็ทำให้เราจิตตก การไปวัด ทำบุญ ฟังธรรม สวดมนต์ก่อนนอน เหมือนเป็นยาช่วยรักษาจิตใจให้แข็งแรงขึ้น ให้เราเลิกฟุ้งซ่าน แม่บอกเราเสมอว่า หมอเค้ารักษาได้แค่ร่างกาย ส่วนจิตใจเราต้องรักษาเอาเอง ก็ได้ศาสนานี่แหละค่ะที่เป็นที่พึ่งพิง ทำให้ใจสงบ ทำให้เข้มแข็งขึ้น

เราเปรียบเสมือนการเกิดใหม่ เป็นคนใหม่เลย

ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราก็คงใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย ทำงาน หาเงิน กิน เสพสุขไปตามประสา แบบไม่มีจุดมุ่งหมายของชีวิต

ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราก็คงไม่รู้ซึ้งว่า การมีสุขภาพแข็งแรงที่สามารถทำอะไรก็ได้ดั่งใจ มันมีค่ามากแค่ไหน (โดยเฉพาะเวลาที่นอนซมอยู่บนเตียงเวลาทำเคมีบำบัด)

ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราก็ไม่รู้จักความตายว่ามันอยู่ใกล้กับเรามากแค่ไหน เรารู้ว่าเราต้องตาย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันจริง ๆ ใช้ชีวิตอย่างไร้หลัก ใช้เวลาที่มีแบบไม่รู้คุณค่า ทำให้รู้ว่าเวลาที่เรามีอยู่มันน้อยแค่ไหน และต้องใช้ทุกวินาทีอย่างมีความหมายที่สุด เราไม่ตื่นสายเหมือนแต่ก่อน เราไม่นอนแช่บนเตียงโดยไม่ทำอะไร

เราตัดเรื่องที่ไม่สำคัญและไม่จำเป็นต่อชีวิตเราได้หลายเรื่อง

ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงไม่ทำบุญ ไม่สวดมนต์ ไม่สนใจศึกษาพระธรรมอย่างถ่องแท้ ต่อให้ทำก็เป็นเพียงทำตามประเพณีที่สืบต่อกันมาเท่านั้น

ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราก็ยังไม่สำนึกว่าใครรักเรามากที่สุด ใครดูแลเรามากที่สุด และเราควรจะรักใครมากที่สุด

มันเป็นเหมือนบททดสอบของชีวิต ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และเติบโต เลือกวิถีชีวิตที่เราอยากจะเป็นในชีวิตที่เหลือนี้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรถึงจะมีค่า มีความหมาย ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ไม่ประมาททั้งการกินและเรื่องอื่น ๆ

ณ ปัจจุบันที่เรากำลังพิมพ์อยู่นี้ เราสามารถกลับมาทำงาน ขับรถ และสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ตามปกติแล้ว โดยเราต้องกินยาต้านมะเร็งหลังอาหารเช้าทุกวันต่อเนื่อง 5 ปี และต้องไปติดตามอาการกับคุณหมอทุก 6 เดือน และห่างออกไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณหมอไม่ตรวจพบเซลล์มะเร็งอีกต่อไป

เซลล์มะเร็งมีในตัวทุกคน แต่มันจะพัฒนาตัวเป็นเนื้อร้ายก็ต่อเมื่อร่างกายอ่อนแอ และภูมิคุ้มกันต่ำ ประกอบกับความเสี่ยงในการใช้ชีวิตจากสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปในทุก ๆ วัน การหมั่นตรวจสุขภาพ และรักษาสุขภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเมื่อคุณเป็นมะเร็งแล้ว ชีวิตคุณและครอบครัวคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ขอให้สาว ๆ และทุกคน สุขภาพแข็งแรง และนำเรื่องราวที่ได้อ่านนี้ เป็นอุทธาหรณ์หรือแง่คิดในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และครอบครัว เพราะเมื่อสุขภาพแข็งแรงแล้ว เราก็สามารถทำงาน ดูแลคนในครอบครัว พัฒนาประเทศชาติ หรือทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา และนับว่าเป็นพรอันประเสิรฐที่มีค่ากว่าเงินทองใดใด เพราะต่อให้ทำงานจนร่ำรวยแค่ไหน แต่สุขภาพไม่แข็งแรง ต้องนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เงินทองที่หามาได้ก็เท่ากับสูญเปล่าค่ะ

Discussion (3)

ขอบคุณค่า
ขอบคุณสำหรับการถ่ายทอดประสบการณ์และข้อคิดดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า✌