วิเคราะห์ส่วนผสมและรีวิว | ✱ KENE ✱ | Brightage C เซรั่มวิตามินซี 12% เข้มข้น เด็ดดวง ส่วนผสมดีๆอัดแน่นครบ หลอดเดียวจบ
james_badbitch1810สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิก Jeban ทุกคนวันนี้เจมส์จะมารีวิว เซรั่มวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวที่ส่วนผสมดีมากๆตัวนึงบอกได้คำเดียวครับว่า " หลอดเดียวจบ " เป็นทั้ง Whitening ,Anti-Aging และ Anti-Wrinkleเชื่อว่าเพื่อนๆคงเห็นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ กันมาบ้างแล้วนั่นคือ เซรั่ม Brightage C จากแบรนด์ KENE นั่นเองครับก่อนที่เจมส์จะพูดถึงตัวเซรั่ม เจมส์อยากจะพูดถึงแบรนด์ KENE กันซะนิดนึงครับKENE เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแนวเวชสำอาง ออกไปทางการแพทย์ มี concept คือ innovative skin solution คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการจัดการปัญหาผิว คือเป็น skin solution ไม่ใช่แค่ skin care หรือการดูแลผิวโดยทั่วไป แต่จะเน้นการดูแลผิวโดยใช้ส่วนผสมและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีหลักฐานงานวิจัยรองรับ และเลือกใช้ส่วนผสมที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูง เจมส์ว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าจับตามองจริงๆครับ
" KENE - Brightage C Line & Radiance Corrector "ซึ่งเจมส์จะบอกว่า นี่คือเซรั่มวิตามิน C ที่เข้มข้น และดีมากๆๆๆๆๆๆๆมากที่สุด มากจริงๆ สมกับคำร่ำลือ ของหลายๆคนครับส่วนผสมหลักๆของเซรั่มนี้ประกอบด้วย vitamin C ที่มากถึง 12 % + Peptide 5 %แล้วพ่วงมาด้วยด้วยผสมอีกหลายๆตัวที่ไปเสริม vitamin C และ peptide ให้มีประสิทธืภาพมากขึ้นถ้าวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วเจมส์ว่าเซรั่มตัวนี้จะไปจัดการกับ 2 ปัญหาหลักๆคือ
- ปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนทั้งหลาย เช่น ริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียน ผิวไม่เต่งตึง ขาดความยืดหยุ่น ปัญหานี้ทั้ง Vitamin C และ Peptide จะช่วยทำงานเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นการสร้าง collagen และ extracellular matrix หรือโครงสร้างค้ำจุนผิวต่างๆ
- อีกปัญหาคือ ปัญหาของเม็ดสี ทั้งความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำแห่งวัย รอยดำจากสิวต่างๆ ซึ่งตัว VitaminC เองก็ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีลดรอยดำ โดยจะทำงานคู่กับส่วนผสมอีกตัวนึงที่เจมส์จะพูดถึงต่อไปครับ
ก่อนจะลงรายละเอียดก็ต้องบอกกันก่อนว่าเซรั่มตัวนี้จะแนวๆ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสไปพร้อมๆกันนั่นเอง
ก่อนอื่นเรามา Focus เรื่องวิตามิน C กันก่อนดีกว่านะครับ
หลักๆในสูตรจะมีวิตามินซีอยู่ 2 รูปแบบคือ
- Ascorbyl Tetraisopalmitate = 10 % (อนุพันธ์วิตามินซีรูปแบบที่เสถียรสูง ละลายในไขมัน)
- 3-O Ethyl ascorbic acid = 2 % (อนุพันธ์วิตามินซี ที่ละลายในน้ำ)
Vitamin C เป็นส่วนผสมตัวนึงที่ต้องบอกว่าเป็นตัวหลักในวงการ skin care ที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาเยอะมาก และเป็นส่วนผสมที่มีหลายๆคุณสมบัติ โดยคุณสมบัติหลักๆก็จะมี 5 อย่างด้วยกันคือ การต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ และช่วยในการซ่อมแซมแผลหรือ wound healing แต่ถึงจะเป็นส่วนผสมที่ดี แต่ก็มีหลายๆปัจจัยที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทาจริงๆหรือเปล่าเริ่มตั้งแต่
ความเข้มข้น จะเห็นว่าหลายๆตัวอาจจะบอกว่าเป็นเซรั่มวิตามินซีแต่ไม่ได้บอกความเข้มข้น ตรงนี้ก็อาจจะตกม้าตายได้เพราะ วิตามินซีเป็นส่วนผสมที่ต้องการความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงในการออกฤทธิ์ส่วนตัว เจมส์จะเลือกใช้ที่มากกว่า 10% ครับ ซึ่งสามารถคาดหวังผลได้
ส่วนเรื่องค่า pH ของวิตามินซีตัวดั้งเดิมเลยคือ ascorbic acid ซึ่งการจะใช้ได้ผลต้องมีค่า pH ที่เป็นกรดเหมาะสม เพื่อให้ส่วนผสมมี bioavailibility ที่มากพอดังนั้นหากเลือกตัว ascorbic acid ก็ต้องดูค่า pH กันนิดนึงครับ และหลังทาเราก็ควรทิ้งไว้ 15-20 นาทีเพื่อให้หน้าเรายังคง pH เป็นกรดอยู่ และการทาตัว skin care อื่นทับไปเร็วเกินไปก็อาจจะทำให้ค่า pH เปลี่ยนไปไม่เหมาะสมกับการทำงานของเจ้า ascorbic acid อีกจึงทำให้ทำงานไม่เต็มที่ก็เป็นได้
แต่ในกรณีของผลิตภัณฑ์ตัวนี้เนื่องจากรูปแบบที่เลือกใช้เป็นอนุพันธ์จึงไม่จำเป็นต้องใช้ค่า pH ที่เป็นกรด และไม่ต้องรอเวลาทำงาน จึงช่วยตัดบางปัจจัยที่ค่อนข้างยุ่งยากในการใช้งานออกไปได้ แล้วก็จะได้เรื่องความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมา โดยในสูตรของ KENE จะผสมระหว่างตัวที่ละลายน้ำและน้ำมัน ข้อดีก็คือเราได้จะประโยชน์ของ antioxidant ทั้งกับโครงสร้างผิวที่เป็นไขมัน และเป็นโครงสร้างที่ชอบน้ำครับ พูดมาตั้งยาวสำหรับเรื่อง Vitamin C เจมส์ให้ผ่านเลย เพราะความเข้มข้นสูง อนุพันธ์ที่ใช้เป็นรูปแบบใหม่ที่ประสิทธิภาพสูง ก็หวังผลได้ในเรื่องของริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และเรื่องความกระจ่างใส ลดจุดด่างดำต่างๆครับ
ตอนแรกที่เจมส์เห็นผลิตภัณฑ์นี้คือ ใส่วิตามินซี มาเยอะขนาดนี้ ราคาสูงแน่ๆ 2-3 พันชัวร์Skin care ที่ส่วนผสมดีๆ ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายจริงไหมครับแต่จะบอกว่า ราคาถือว่าโอเคมากๆกับส่วนผสมทำให้รู้สึกคุ้มค่ามากๆ ตรงจุดนี้เอาใจเจมส์ไปเลยเต็มๆครับ
มาดูกันที่ Packaging กันบ้างผลิตภัณฑ์เป็นหลอดบีบยาวๆ ซึ่งถือว่าดีครับ ป้องกันอากาศที่จะไปสัมผัสกับเนื้อเซรั่มได้ดีแล้วการที่เป็นหลอดบีบ ทำให้เราควบคุมปริมาณในการใช้ได้ดีกว่าแบบขวดปั้มด้วยครับ(เพราะวิตามินซีโดยปกติแล้วเสื่อมสภาพได้ง่าย แค่โดนอากาศสัมผัสบ่อยเข้า วิตามินซีในครีมก็จะเสื่อมได้แล้วครับ ดังนั้นบรรจุภัณฑ์แบบนี้ถือว่า ผ่านครับ)
ในส่วนของเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อที่ค่อนข้างกึ่งเหลว ทำให้เกลี่ยง่ายมากๆ
เนื้อเซรั่มให้ความชุ่มชื่นผิวได้ดี ในทันทีที่เกลี่ยทั่วบริเวณเสร็จ ผิวจะชุ่มชื่นขึ้นอย่างมากแต่พอผ่านไปสักพัก พอเซรั่ม set ตัว กลับไม่เหนียวเหนอะหนะ กลับสบายผิวอย่างไม่น่าเชื่อตรงจุดนี้ทำให้ผมชอบเซรั่มตัวนี้มากๆเลยครับ
ประสบการณ์จากการใช้จริง :
ต้องบอกว่าเจมส์ชอบเซรั่มตัวนี้มากๆ เจมส์ทาเช้า-เย็น ทุกวันจริงๆ จนตอนนี้หมดหลอดแล้ว ซึ่งทำให้เจมส์เห็นผลที่ชัดเจนมากๆ ที่เห็นชัดๆเลย คือ ผิวที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผิวฟูขึ้น ผิวแน่นขึ้น ผิวหน้าโดยรวมกระจ่างขึ้น ไม่ดูโทรมแบบแต่ก่อน มันอมชมพูมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จุดด่างดำต่างๆแลดูจางลงครับ ที่สำคัญตอนทาคือไม่แสบ ไม่ร้อนเลย สบายผิวปกติครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยลองใช้วิตามินซียี่ห้อนึง 10.5 % ซึ่งทาแล้วก็รู้สึกอุ่นๆ แอบแสบนิดๆตอนมีแผลสิว เลยทำให้เลิกทาไป แต่ เซรั่ม Brightage C ตัวนี้ไม่รู้สึกเลย ดีใจมากๆ รู้สึกหน้าค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
ปล. เจมส์ได้เก็บภาพ ก่อน-หลัง ใช้ช่วง 14 วันแรกด้วยครับไปดูผลลัพธ์กันดีกว่า
อย่างแรกเลย รูปข้างบนด้านซ้ายคือยังไม่ได้ใช้ จะแลดูหมองๆไม่สดใส ผิวดูไม่เรียบเนียน , แต่ !!! พอใช้เซรั่มเช้า-เย็น ผ่านไป 14 วัน ผิวที่ได้คือ แลดูนุ่มนวลขึ้น แลดูเรียบกว่า ผิวฟูขึ้น กระจ่างขึ้น จุดสิว/รอยสิวข้างๆจมูกก็แลดูดีขึ้นครับ
ส่วนรูปข้างล่าง ก่อนใช้จะเห็นเลยว่าหน้าปรุๆ เห็นรูขุมขนชัดเจนกว่า ผ่านไป 14 วัน รูขุมขนแลดูกระชับขึ้น ผิวโดยรวมละเอียดขึ้น ดูนุ่มนวลน่าสัมผัสกว่า
ที่สำคัญถ้าเพื่อนๆสังเกตโทนสีผิว จะเห็นเลยว่า ผิวจะเริ่มมีสีโทนชมพูมากขึ้น ดูมีสุขภาพดีมากขึ้นนั่นเองครับ
พอลองดูภาพโดยรวม แบบหน้าตรงดู จะเห็นเลยว่าด้านขวามือที่ใช้เซรั่ม Brightage C มา 14 วันนั้น รอยคล้ำใต้ตาแลดูเบลอๆกว่า ผิวโดยรวมแลดูฟู นุ่ม ขึ้น แลดูกระจ่างใสอมชมพูกว่าเพียงเล็กน้อย และแลดูผิวจะเรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด------------------------------------------------เราเห็นผลลัพธ์จากการใช้กันแล้วคราวนี้มาดูส่วนผสมกันบ้างดีกว่าครับ
KENE - Brightage C Line & Radiance Corrector
Ingredients :
AQUA, ASCORBYL TETRAISOPALMITATE, SORBITOL, 3-O-ETHYL ASCORBIC ACID, SODIUM LACTATE, GLYCERIN, ISOHEXADECANE, POLYSORBATE, RUBUS VILLOSUS LEAF EXTRACT, PANTHENOL, SIMMONDSIA CHINENSIS SEED OIL, SODIUM ACRYLATE/SODIUM ACRYLOYLDIMETHYL TAURATE COPOLYMER, SODIUM PCA, SQUALANE, CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT, VITIS VINIFERA (GRAPE) SEED OIL, BETA-GLUCAN, RUMEX OCCIDENTALIS EXTRACT, BUTYLENE GLYCOL, PROPYLENE GLYCOL, ASCORBIC ACID, PHENOXYETHANOL, ALLANTOIN, SODIUM LAUROYL LACTYLATE, SODIUM HYALURONATE, TOCOPHERYL ACETATE, DECARBOXY CARNOSINE HCL, SYNTHETIC WAX, CERAMIDE 3, ETHYLHEXYLGLYCERIN, CARBOMER, TETRAPEPTIDE-21, CERAMIDE 6 II, CHOLESTEROL, PHYTOSPHINGOSINE, PALMITOYL TETRAPEPTIDE-7, PALMITOYL TRIPEPTIDE-1, POLYSORBATE 20, HYDROXYETHYL BEHENAMIDOPROPYL DIMONIUM CHLORIDE, RESVERATROL, XANTHAN GUM, LECITHIN, CARNITINE, POLYQUATERNIUM-67, UBIQUINONE.
ส่วนผสมนี้ถ้าคนที่ดูเป็นจะอ้าปากค้างเลยว่า โห๊ ใส่มาขนาดนี้เลยเหรอ มีแต่ส่วนผสมดีๆทั้งนั้นใช่แล้วครับ ส่วนผสมหลอดนี้ดีจริงๆ
เริ่มจากพระเอกของเราก็คือ วิตามินซี ตัวแรก ASCORBYL TETRAISOPALMITATE ตัวนี้เป็นอนุพันธ์วิตามินซีที่เสถียรและละลายในไขมัน ซึ่งมีงานวิจัยรองรับครับว่า วิตามินซีตัวนี้สามารถซึมเข้าสู่ผิวเราเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และ ต่อต้านอนุมูลอิสระภายในผิวได้จริงๆ (เนื่องจากผิวหนังของคนเราตามธรรมชาติแล้วโครงสร้างผิวจะมีไขมันเป็นส่วนประกอบ และการที่อนุพันธ์วิตามินซีตัวนี้ละลายในไขมัน จึงสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดี) แถมใส่มาอัดแน่นถึง 10 % + อนุพันธ์วิตามินซีตัวถัดมา 3-O-ETHYL ASCORBIC ACID เป็นวิตามินซีที่พบเจอได้บ่อยในพวกเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ เพราะเป็นวิตามินซีที่เสถียรกว่า Ascorbic Acid ตัวเก่าแก่ แถมในสูตรเองก็ใส่มา 2 % ซึ่งถือว่าโอเคครับ + ASCORBIC ACID ตัวดั้งเดิมมาด้วย เดาว่าน่าจะมาจาก สารที่ชื่อว่า TyrostatTM เพราะ Ascorbic Acid เป็นหนึ่งในส่วนผสมของสารนี้ด้วย ความเข้มข้นในสูตร ผมคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 0.5-0.1 % ถือว่าเป็น Antioxidants ให้สูตรได้ พอเพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อนๆก็จะรู้แล้วว่า เซรั่มตัวนี้มี vitamin C ประมาณ 12.x % เลย
จบที่ตัวพระเอกแล้วมาที่นางเอกของสูตรบ้างนะครับ นั่นคือ 5 % Peptide ( PALMITOYL TETRAPEPTIDE-7 + PALMITOYL TRIPEPTIDE-1 และ TETRAPEPTIDE-21 ) บางคนอาจจะสงสัยว่า peptide เป็นโปรตีนและโปรตีนเองก็โมเลกุลใหญ่ใครๆก็พูดกันว่ามันไม่ซึมลงผิว ใช่ครับ ถ้าเป็นโปรตีนโมโลกุลใหญ่ๆมันไม่ซึมลงผิวถูกต้องแล้วครับ แต่นี้คือ Peptide สายอนุพันธ์โปรตีนที่มีขนาดเล็กซึ่งมีโอกาสจะซึมเข้าสู่ผิวมากกว่านั้นเอง peptide พวกนี้จะเป็นตัวส่งสัญญาณให้ผิวมีการทำงานได้ดีขึ้น ส่งเสริมให้ผิวมีการกระตุ้นการสร้างเส้นใยต่างๆเช่น Collagen, Fibronectin และ สารน้ำอย่าง Hyaluronic Acid ตามธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นส่วนผสมที่เป็น Anti-Aging ที่ดีเลย เพราะ Peptide นี้สามารถทำงานคู่กับ vitamin C ในสูตรก็จะยิ่งส่งเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ ริ้วรอยต่างๆเองก็จะแลดูลดเลือนลงได้
ส่วนสารอื่นๆในสูตรส่วนมากก็จะเป็นสารกลุ่ม antioxidants ที่เด็ดๆทั้งนั้น แต่ตัวที่อยากพูดถึงเป็นพิเศษคือ Rumex occidentalis extract หรือ TyrostatTM ที่ช่วยยับยั้ง Enzyme Tyrosinase ที่ก่อให้เกิดเม็ดสีผิวจุดด่างดำต่างๆ ส่วนผสมตัวนี้เป็น whitening ที่บริษัทผู้ผลิตสารเค้าเคลมว่าสามารถยับยั้ง tyrosinase ได้ดีกว่าพวก whitening กลุ่มเดิมๆเช่น arbutin, kojic, licorice หรือแม้แต่ hydroquinone ตรงนี้ก็คงไปเสริมฤทธิ์ของ vitamin C ในการลดจุดด่างดำได้อีกขั้นนึง อีกตัวนึงคงจะไม่พูดถึงไม่ได้คือกลุ่มของสารที่ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น บางคนอาจจะงงว่าทำไมต้องทำให้ผิวแข็งแรง ลองนึกถึงลูกโป่งที่เต็มไปด้วยน้ำนะครับ ถ้าลูกโป่งรั่ว น้ำรั่ว ลูกโป่งเองก็เหี่ยว เหมือนกับผิวเลยคือ ถ้าชั้นผิวอ่อนแอ น้ำใต้ผิวก็จะออกไปได้ง่ายผิวก็ดูขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื่นไม่เต่งตึง พวกสารระคายเคืองต่างๆก็เข้ามาทำร้ายผิวได้ง่ายขึ้น โดยงานวิจัยปัจจุบันพบว่าการทำให้ชั้น barrier ของผิวแข็งแรงต้องอาศัยไขมันสามกลุ่มคือ ceramide, cholesterol และ fatty acid ในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยใน Brightage Cต้องถือว่าทำได้ดีเพราะมีมาครบทั้งสามตัว ก็จะได้ประโยชน์เรื่องผิวแข็งแรงอุ้มน้ำได้ดีขึ้นด้วยนั่นเอง ส่วนผสมที่เหลือจะเป็น สารกลุ่มดึงน้ำให้ผิว สารให้ความชุ่มชื่นหลายตัว +ในสูตรสารกันเสียเองก็ปลอดภัย ไม่มีสารกลุ่มพาราเบน ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม เรื่องความอ่อนโยนจึงถือว่าสอบผ่าน โดยสรุปเจมส์สรุปว่า Brightage C ผ่านฉลุยในแง่ Vitamin C serum คือส่วนผสมตัว Vitamin C เองก็ใส่มาเข้มข้น เป็นอนุพันธ์ตัวใหม่ประสิทธิภาพสูง แต่ส่วนที่ต่างคือถ้าเทียบผลิตภัณฑ์ทั่วๆไป Vitamin C Serum ในท้องตลาด ก็มักจะใส่มาแต่ Vitamin C แต่ Brightage C เหมือนเป็นตัวที่บวกส่วนผสมหลายๆตัวเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน และลดจุดด่างดำ ถือเทียบกับ Vitamin C ทั่วไปก็อาจจะเป็นเวอร์ชั่นติดอาวุธ ที่จะมาช่วยจัดการปัญหาผิวอื่นๆมากขึ้น-----------------------------------------------
สรุป :
- Vitamin C 12 % คาดหวังผลได้
- มี peptide เสริมการกระตุ้นคอลลาเจน และมี tyrostat เสริมการลดจุดด่างดำ
- Antioxidants อัดแน่นเต็มหลอด
- จากสูตรเป็นทั้ง Whitening + Anti-Aging + Anti-Wrinkle ครบในหลอดเดียว
- ปราศจากน้ำหอม/ ปราศจากสี/ ปราศจากสารกันเสียกลุ่ม Paraben/ ปราศจาก Alcohol
- มีสารกลุ่มไขมันที่ดีกับผิว ส่งเสริมให้ผิวแข็งแรง
- คุ้มมากเมื่อเทียบ ราคากับส่วนผสม ไม่แพงเลยจากใจ (30 g./1190 บาท)
ปล. มีรายงานว่าเมื่อเราทาเซรั่มหรือครีมที่มีส่วนผสมของ Antioxidants ก่อนที่จะทาครีมกันแดด >>> จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดของครีมกันแดดดังกล่าวมีมากกว่าปกติครับ
ผมขอจบรีวิวเซรั่มดีๆที่น่าลงทุนตัวนึงไว้เพียงเท่านี้นะครับ----------------------------------------
การรีวิวในครั้งนี้ Base on ความเห็นส่วนตัว + ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
สุดท้ายแล้วผมไม่ทราบได้นะครับ ว่าสิ่งนี้เหมาะกับทุกคนไหม ใช้แล้วจะแพ้ไหม ผลลัพธ์ในการใช้จะเหมือนกับผมรึเปล่า
ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆครับ เพราะผิวของแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน อยากให้ลองทดสอบและทดลองก่อนใช้ด้วยตัวเองนะครับ
และการวิเคราะห์ส่วนผสมเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวในการวิเคราะห์ ไม่ได้ชี้นำว่าทุกอย่างถูกหรือผิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนนะครับ
ขอบคุณครับ
Thank you ~ *
Discussion (10)
ขอบคุณนะคะ