ใครยังใช้สบู่อยู่บ้าง!! วันนี้มาเคลียร์เรื่องสบู่ด้วยการทดลองวัดความเป็นด่างของสบู่ 6 ยี่ห้อ ว่าจะดีต่อผิวสมคำโฆษณาไหม???
krebs_laboratory33หลายคนคงสงสัยว่าก็แค่สบู่ทำไมต้องให้ความสำคัญอะไรมากมาย อยากบอกว่าสำคัญมากเพราะการที่จะมีสุขภาพผิวที่ดีได้นั้นต้องดูแลตั้งแต่การเช็ด ล้าง โทน บำรุง รวมถึงปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ที่ต้องพูดเรื่องสบู่เพราะเห็นเห็นรีวิวสบู่กันเยอะว่าดีต่างๆนาๆ อันนี้จะเสนออีกมุมมองหนึ่งซึ่งอิงข้อมูลทางวิชาการ เพื่ออยากให้วิเคราะห์เหตุผลหรือหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจเชื่อ ไม่ให้คำโฆษณา คำรีวิวจากสิ่งต่างๆ ดูดเงินออกจากกระเป๋าเราออกไปง่าย เราจึงอดไม่ได้ที่จะบอกความจริงที่จริงยิ่งกว่า เพราะเราเห็นว่าใครๆก็จะขายสบู่กันทั่วเน็ตและก็โม้สุดฤทธิ์ว่า “สบู่..ดีอย่างงั้นดีอย่างงี้” ทั้งๆที่มันเป็นด่างเว่อร์ซึ่งทำร้ายผิวเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง เราซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์เห็นแล้วจึงอยากแบ่งปันข้อมูลที่ศึกษามาจะเอามาเล่าสู่คนที่อยากดูแลผิวฟังโดยมีการทำการทดลองเล็กๆเพื่อเป็นหลักฐานมาเล่าบอก รวมทั้งจากการค้นงานวิจัยเพิ่มเติมว่าทำไมมันถึงทำร้ายผิว จะได้กระจ่างกันซักที ถ้าสนใจก็ติดตามกันได้เลยจร้า
สบู่ 6 ยี่ห้อที่เราเอามาทดลองนั้นส่วนใหญ่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ซึ่งสิ่งที่จะมาเล่าวันนี้คือความเป็นด่างของสบู่ (วัดจากค่าพีเอช) และทดลองเพื่ออธิบายว่าสบู่ที่เป็นด่างไม่ดีกับผิวอย่างไร สบู่ที่ใช้ทดสอบ คือ
1. สบู่ยี่ห้อเบ...สีส้ม (มีวิตามินซีและอี @45 ฿) ค่าพีเอช = 9.36 (เฉลี่ยจากการวัดซ้ำ)2. สบู่ยี่ห้อเบ...สีขาว (มีอาร์บูตินและเมล็ดองุ่น @55 ฿) ค่าพีเอช = 9.293. สบู่ยี่ห้อซิ....สีเหลือง(มีสมุนไพรพม่า @48฿) ค่าพีเอช = 9.704. สบู่ยี่ห้อเด...... (องุ่นจากสวิตฯ,สาหร่าย @390 ฿) ค่าพีเอช = 8.995. สบู่ยี่ห้อพา...(มีสารสกัดเยอะมาก @490฿) ค่าพีเอช = 9.636. สบู่ยี่ห้อเวล..(เจ้าของเป็นเภสัช @320฿) ค่าพีเอช = 9.07
ค่าพีเอช (pH) หรือค่าความเป็นกรดด่างของสบู่ส่วนใหญ่จะเป็นด่างสูง (มากกว่า 9) ซึ่งแรงเกินไปกับผิวหน้า(ผิวหน้ามีพีเอชเฉลี่ย 5.5) เพราะสบู่ทำความสะอาดที่มากเกินความจำเป็นจะล้างเอาน้ำหล่อเลี้ยงผิวและน้ำมันดีๆบางส่วนที่มีประโยชน์กับผิวออกไปหมด การทำความสะอาดผิวหน้าที่ถูกต้องแค่ล้างเอาสิ่งสกปรกและไขมันส่วนเกินออกไปก็เพียงพอแล้ว หน้าคนเราไม่ได้สกปรกถึงขั้นต้องใช้สบู่ด่างที่รุนแรงกับผิวเลย สงสารผิวที่จะต้องถูกทำลายจากาการเชื่อคำโฆษณาเกินจริง ลองคิดตามนะ!! สบู่ล้างหน้าที่รุนแรงมากเกินไปมันจะไปดึงเอาน้ำและน้ำมันที่หล่อเลี้ยงผิวออก คนผิวมันหลังใช้สบู่จะรู้สึกหน้าสะอาดดีไม่มัน แต่หน้าจะมันยิ่งกว่าเก่าหลังล้างหน้าไปได้ไม่นาน เพราะผิวขาดสมดุลจึงต้องปรับตัวเองโดยการผลิตน้ำมันมาแทนที่เสียไป คนผิวแห้งจะยิ่งทำให้หน้าแห้งตึงแต่จะไม่มีน้ำมันมาเคลือบหน้าเพราะผิวผลิตน้ำมันได้ไม่ดีอยู่แล้ว ราคาสบู่ที่ต่างกันนั้นก็จะขึ้นอยู่กับหลายๆอย่างเช่น เติมสารอะไรให้มันดูแพง เช่น คาเวียร์ น้ำลายผึ้ง แพคเกจที่เลือกใช้ ค่าจ้างดารามาโฆษณา คิดค้นโดยเภสัชกร ฯลฯ เค้าก็บวกหมด ราคามันก็จะแพงตาม ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้คงคิดในใจว่าแล้วจะใช้อะไรล้างหน้าดีละ เดี๋ยวจะพูดถึงตอนท้าย
สำหรับคนที่กำลังตกเป็นเหยื่อของโฆษณาที่อ้างว่าสบู่หรือครีมล้างหน้าเพื่อผิวขาว ใส ไร้สิว อยากให้นึกถึงหลักความเป็นจริงว่าเราใช้เวลาล้างหน้ากี่นาที สบู่โดนหน้าไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำแล้วเราก็ล้างออก การที่สารต่างๆจะซึมเข้าผิวเพื่อบำรุงผิวนั้นต้องทิ้งระยะเวลาให้มันดูดซึมสักพัก (สำหรับคนที่มีความคิดว่างั้นต้องล้างหน้านานๆทิ้งให้ดูดซึมก่อน อันนี้ไม่ควรเลยเพราะหน้าที่ของสารทำความสะอาดก็มีหน้าที่ทำความสะอาดไม่ใช่บำรุง ถ้าทิ้งไว้นานก็อาจส่งผลเสียต่อผิวและทำให้ผิวเสียสมดุลได้)
อีกอย่างการทำสบู่ต้องมีการใช้ความร้อนทำให้สารต่างๆที่เค้าอ้างประโยน์ว่ามีในสบู่มักจะเสื่อมระหว่างโดนความร้อน และก็สูญเสียไปกับค่าความเป็นด่างในสบู่เพราะสารสกัดจากธรรมชาติ วิตามิน ต่างๆ มันต้องอยู่ในค่าพีเอชกลาง(พีเอช 7) ถึงกรดเล็กน้อย เราคิดว่าเอาเงินที่ลงทุนกับสบู่ที่อ้างว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ไปลงทุนกับสกินแคร์ดีๆสักตัวสองตัวน่าจะคุ้มกว่าเพระทาทิ้งไว้บนผิวเลย ผิวมีเวลาที่ดูดซึมพอเนื่องจากผิวหน้าของเราจะมีค่าพีเอชเฉลี่ยคือ 5.5 ถ้าผิวหน้าของเรามีค่าพีเอชที่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลเสียต่อผิว แล้วจะเลือกอะไรล้างหน้าที่ดีที่สุด เดี๋ยวมาเล่าต่อ
อันนี้เป็นเหตุผลจากงานวิจัยประกอบว่าสบู่มีวิธีทำร้ายผิวได้อย่างไรบ้าง
เพราะค่าพีเอชที่สูงผิวจะพองตัวจากน้ำได้มากขึ้น(เพราะสบู่ทำให้โปรตีนที่ผิวเกิดประจุลบจึงเกิดการผลักกันเองและเกิดช่องว่างที่มากขึ้น) ดังในการทดลองกับปลาหมึกแห้งที่แช่ในด่าง และแช่ในน้ำสบู่ทำให้โปรตีนพองตัวได้และดูดน้ำมาอยู่ในโครงสร้างของผิวมากขึ้น เช่นเดียวกับผิวหน้าที่ล้างด้วยสบู่อย่างต่อเนื่องสบู่ด่างจะทำให้ผิวพองตัวขึ้นทำให้มีช่องว่างให้ด่างเข้าไปละลายโครงสร้างผิว เกราะป้องกันผิว ไขมันดี และความชุ่มชื้นในผิวจะถูกละลายออกมาในช่วงที่ใช้สบู่ที่เป็นด่าง และเกิดผลเสียกับผิวในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ควรหลีกเลี่ยงสบู่ด่างเพื่อไม่ให้ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุให้คันและอาการต่างๆได้ งานวิจัยพบว่าถ้าใช้สบู่ด่างนาน 5 สัปดาห์ ทำให้ผิวไวต่อสารก่อการระคายเคือง(SLS) ได้ง่าย
2. ค่าพีเอช 8 ส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำมากขึ้น เพราะผิวดูดน้ำเพิ่มขึ้น(pH มากกว่า isoelectric point ของโปรตีน) สารด่าง(KOH,NaOH)ในสบู่ และสาร SLS ในสบู่เข้าไปทำลายไขมันและโปนตีนที่เป็นโครงสร้างของเกราะป้องกันผิว นี่เป็นสาเหตุหนึ่งของสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไปก่อการระคายเคืองให้ผิวเพราะการทำความสะอาดที่มากเกินความจำเป็นจนกลับเป็นการรบกวนผิวเกินไป
3. ด่างจากสบู่ทำให้ไขมันเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างใหม่ทำให้หน้าที่ของเกราะป้องกันผิวเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เพราะด่างเพิ่มอุณหภูมิของจุดหลอมเหลวของไขมันที่ผิวจึงจาก lamellar bilayers กลายเป็นรูปร่างที่ยึดเกาะกันมากขึ้น) เกราะป้องกันผิวจะทำงานได้ดีที่พีเอชเป็นกรดอ่อนๆ(pH 5.5) ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องผิวจากมลภาวะ ด่างทำให้การทำงานของเอนไซม์ที่ทำงานของเกราะป้องกันผิวจะลดลงทำให้หน้าที่ของเกราะป้องกันผิวบกพร่องไป
4. คนเป็นโรค rosacea (ผื่นแดงที่ผิวหน้าบริเวณแก้มและจมูกเมื่อถูกกระตุ้นด้วย แดด เหงื่อ ความร้อน และมลภาวะ) ไม่ควรใช้สบู่เพราะมีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะจะทำลายเกราะป้องกันผิว และผิวขาดน้ำ จะทำให้อาการรุนแรง ควรเลือกสารทำความสะอาดที่มีค่าพีเอชใกล้เคียงกับผิวคือเป็นกรดอ่อนๆ(พีเอช 5.5)
5. มีงานวิจัยกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่ฉายแสงเมื่อให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีค่าพีเอช 5.5 ทำให้ผิวผู้ป่วยมีสุขภาพผิวดีขึ้น