Not Just a Beautiful Face

.

Discussion (5)

ชอบมินดี้ นางเจ๋งดี


Tracee Ellis Ross


ถ้าบอกว่าเธอคือลูกสาวของไดอาน่า รอส ศิลปินระดับตำนาน  คนที่ยังไม่เคยติดตามผลงานของเธออาจจะยักไหล่แล้วคิดว่านี่เป็นหนึ่งในการใช้เส้นสายของคนดังอีกล่ะสิ  แต่ในกรณีของเทรซี  เธอดูจะอยู่นอกการเหมารวมนั้นไปค่ะ  แม้ว่าแม่เธอจะดังระดับขึ้นหิ้งและพ่อก็เป็นนักธุรกิจวงการบันเทิงที่ร่ำรวย  แต่เทรซีต้องพิสูจน์ตัวเองในวงการอยู่นานหลายปีและในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในระดับ mainstream



หลายคนมักตัดสินว่า เหล่าลูกคนดังทรงอิทธิพลในวงการนั้นได้อะไรมาง่ายๆ ด้วยแรงสนับสนุนจากพ่อแม่ พอเริ่มเป็นหนุ่มสาวก็เข้าวงการมีสื่อเขียนข่าวเชียร์  ออดิชั่นอะไรก็ผ่านฉลุยเพราะ connection ของพ่อแม่  




เทรซีเป็นนางแบบในช่วงวัยทีน แล้วเธอก็เข้าเรียนที่บราวน์และจบปริญญาสาขาภาพยนตร์มาจากไอวี่ลีคแห่งนี้ ระหว่างที่ศึกษาอยู่ เธอได้เข้าร่วมการแสดงละครเวทีและค้นพบความหลงไหลในการแสดง เธอเริ่มแสดงหนังอินดี้และมีผลงานตามออกมาอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นหนังหรือทีวีซีรีย์  แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแต่กลุ่มผู้ชมผิวสีที่ยอมรับฝีมือการแสดงของเธอ เป็นเวลายาวนานกว่าทศวรรษที่ชื่อของเทรซี่จะปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลการแสดงที่จัดขึ้นเพื่อชาวผิวสี ไม่ว่าจะเป็น BET Awards     NAACP Image Award     

*คนผิวสีคือ people of colour ไม่เฉพาะคนผิวดำเท่านั้นนะคะ    แต่ก่อนรางวัลพวกนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คนบันเทิงเชื้อสายแอฟริกัน แต่ตอนนี้ได้ยอมรับ diversity เข้ามา  ปี 2016 มีศิลปินชาวเกาหลีใต้ได้เข้าชิง BET Awards มาแล้ว  หรือบรูโน มาร์ส ที่เป็นลูกครึ่งฟิลิปปิโน- เปอโตริกันก็ได้เข้าชิงรางวัลเหมือนกัน  แต่ผู้เข้าชิงส่วนใหญ่จะผิวดำค่ะ นั่นรวมถึงลูกครึ่งผิวดำ-ผิวขาวอย่างเทรซี่ด้วย (ลูกครึ่งหลายคนจะภูมิใจในความเป็นผิวดำและเรียกตัวเองว่า black แทนที่จะเป็น mixed)


ความสำเร็จของซีรีย์ Black-ish ที่เทรซี่นำแสดงได้นำเธอขึ้นไปกล่าวคำขอบบนเวทีลูกโลกทองคำในปี 2017 เธอเป็นผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกันคนแรกในรอบ 34 ปีที่คว้ารางวัลสาขานักแสดง comedy หญิงยอดเยี่ยม  และเธอก็อุทิศความสำเร็จนี้ให้กับผู้หญิงผิวสีทั้งหลาย 


จากเมื่อก่อน ซีรีย์สไตล์ Black-ish นี้อาจถูกอคติเบียดบังว่าเป็นผลงานการแสดงที่สร้างโดยคนดำ นำแสดงด้วยคนดำ เป้าหมายผู้ชมก็คือคนดำ ทำให้กลุ่ม majority (ผิวขาว) เมินเฉยต่อผลงานคุณภาพ  แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนอ้าแขนยอมรับ diversity มากขึ้น  เรตติ้งสวยๆ ของ Black-ish ที่สร้างมา 4 ซีซั่นนั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้ดี 

 
Mindy Kaling



แม้จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ฮอลลีวู้ดยอมรับ diversity (ความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม  เพศ)  แต่เราก็ยังได้เห็นความยากลำบากของ poc ในการออดิชั่น  การเป็นนักแสดงนำซีรีย์ดังยาวนานถึง 6 ซีซั่น รวมถึงขึ้นแท่นเป็นผู้สร้างนั้นไม่ใช่เรื่องที่พบกันได้บ่อยเลย 



มินดี้ผู้ฉีก stereotype ของฮอลลีวู้ดและก้าวขึ้นแท่นนักแสดงและนักเขียนบทคุณภาพ  เธอฝ่าฟันอุปสรรคจากอคติต่อผู้หญิงอินเดียจนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความมั่นใจเกินร้อย



มันเหมือนกับตลกร้ายเมื่อผู้หญิงผิวสีน้ำตาลได้มาเป็นเจ้าของรายการและแสดงนำ มีบทพูด 75% จากทั้งหมด แต่มินดี้กลับถูกนักวิจารณ์จับผิดว่า The Mindy Project นั้นขาดความหลากหลายซะเอง ในขณะที่ comedy ชื่อดังมากมายเต็มด้วยเรื่องของคนผิวขาวที่เดทกับคนผิวขาว แต่ไม่ได้มีกระแสกดดันจิกกัดว่าไม่สนับสนุน diversity   คุณผู้อ่านพอจะเห็นความสองมาตรฐานใช่มั้ยคะ  



มินดี้อาจจะระอาที่ถูกจี้เรื่องโชว์ที่เธอสร้างขึ้นมาและไม่ต้องการที่จะมาไล่คอยชี้แจง  The Mindy Project จึงมีตอนที่ว่าถึงเรื่องของความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมและเสียดสีความอคติของผู้คนด้วยอารมณ์ขันเฉียบคม


เวลาได้ยินมินดี้พูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิง  เรารู้สึกหัวใจพองโตที่ได้เห็นผู้หญิงที่เชื่อมั่นในรูปลักษณ์ภายนอกและความเก่งกาจของตัวเองโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือต้องหาคำอธิบายเพื่อให้ผู้คนพอใจ มันไม่ใช่ความผิดของพวกเราหากสังคมจะคาดหวังให้มีแต่ผู้หหญิงที่สวยหุ่นดีราวกับนางแบบ Victoria's Secret ที่ "ดีพอ"ที่จะมั่นใจในตัวเอง  และถ้าคุณมองเห็นสาวสวยที่มองกลับมาจากกระจก คุณไม่ได้หลอกตัวเองหรือเป็นโรค Narcissistic personality disorder   แต่คุณได้เรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ตัวเองเป็นต่างหาก
Greta Gerwig

นางเอกสาวเจ้าบทบาทที่แสดงฝีมือกำกับหนังอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกก็เป็นตัวเก็งออสการ์ซะแล้ว



พอเรารู้ว่าผู้กำกับ Lady Bird คือนางเอกหนังคุณภาพผู้นี้ก็ต้องร้องว้าว!  นอกจากนั้นเธอยังเขียนบทอีกด้วย



เราเคยเพียงแต่ชมตัวอย่างของ Lady Bird และก็อยากจะดูมากๆด้วย (เป็นแฟนตัวยงของเซอร์ชา โรแนนค่ะ) และก็ติดตามข่าวเรื่อยมาและมันน่าตื่นเต้นที่ได้พบว่า Lady Bird ได้เข้าชิงรางวัลเยอะมาก ทั้งจากการประกวดหนังอินดี้ เทศกาลหนังชื่อดังและแน่นอนว่าเวทีใหญ่ๆ อย่าง Golden Globe   SAG awards และแน่นอน  ตอนนี้เรากำลังรอคอยว่าเวที Oscar จะเรียกขาน Lady Bird หรือไม่



เกรต้าอายุเพียง 34   แม้ว่าจะมีผู้กำกับชายวัยไล่เลี่ยกันสร้างสรรค์ผลงานจนเข้าชิงอสสการ์มาแล้วหลายครั้ง   แต่เป็นที่ทราบกันค่ะว่าหลายครั้งเวทีออสการ์จะเมินเฉยกับผลงานของผู้กำกับหญิง หลายๆ ปีมานี้จะมีเสียงทวงถามจากสื่อและผู้ชมว่าเหตุใด หนังดีๆผลงานของผู้กำกับหญิงจึงไม่ได้เข้ารอบสุดท้ายแล้วกลับมีหนังที่ดูค้านสายตาได้ตั๋วไปต่อ  แต่หลังจากหนังของเธอได้รับการรีวิวดีมากๆและยังเข้าชิงรางวัลรัวๆ    ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะได้เห็นเกรต้าในสกู๊ป Award Extra ของ Vanity Fair ที่เธอควงคู่ถ่ายแบบและให้สัมภาษณ์มากับจอร์แดน พีลผู้กำกับผิวดำจาก Get Out หนังดังที่ได้ชิงรางวัลเพียบเช่นกัน



เหตุใดผู้กำกับหญิงและผู้กำกับผิวดำได้กลายเป็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงของฮอลลีวู้ด ?

มันเป็นเวลายาวนานเหลือเกินที่วงการภาพยนตร์ได้ขับเคลื่อนไปภายใต้อิทธิพลของชายผิวขาว THE  TIMES  เคยได้นำเสนอตัวเลขที่ว่า ผู้โหวตลงคะแนนตัดสินรางวัลออสการ์นั้น เกินกว่า 90% เป็นคนขาว  เกินกว่า 70% เป็นชาย 

เมื่อนางเอกสาวสวยที่หันมากำกับหนังและเขียนบทเฉียบคมจนเกิดกระแสตอบรับดีเยี่ยม นั้นก็หมายความว่าอคติเดิมๆ ของวงการภาพยนตร์อาจจะถูกลบหายไปในอนาคต    และมันช่างเป็นสัญญาณที่น่ายินดี





ก่อนหน้านี้ เธออยู่ในกลุ่มนางเอกที่ได้ขึ้นปก Vanity Fair   Hollywood Issue



แม้จะสร้างชื่อเสียงจากงานการแสดงมาหลายเรื่อง  แต่เริ่มต้นนั้นเกรต้าใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนบทและหันมาที่การแสดงในภายหลัง   แต่เธอก็เคยท้อถอยเพราะใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะได้รับบทหนังดีๆ  แต่เมื่อมีชื่อเสียงแล้ว เกรต้าก็ไม่ได้จำกัดความสามารถตัวเองไว้ที่หน้ากล้องเท่านั้น  เธอลงมือเขียนบทและได้กลายเป็นผู้กำกับหญิงที่วงการกำลังจับตามอง



"ชั้นไม่อยากฟังเป็นคนน่ารำคาญนะ  แต่ชั้นสามารถมาถึงจุดนี้ได้ตัวเองอยู่แล้ว    ชั้นจะหาหน้าต่างโอกาสและเปิดให้มันกว้างขึ้น   ชั้นโชคดีที่หาผู้ร่วมงานและกำลังใจที่งดงาม   แต่ชั้นไม่จำเป็นมีผู้ชายก็สามารถสร้างตัวเองได้     มันฟังดูยะโสโอหังนะ  แต่เป็นเรื่องจริง"
 



เกรต้าไม่ได้จู่ๆ พูดอวดอ้างสรรพคุณตนเองขึ้นมา เมื่อนักข่าวได้พูดเบิกทางว่า สาเหตุที่เธอมาได้ไกลในวงการภาพยนตร์นั้น เป็นเพราะความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มผู้กำกับที่ร่วมกันเขียนบทและสนับสนุนให้เธอได้ก้าวเข้ามาทำงานกำกับหนัง    เธอจึงต้องชี้แจงว่ามันเป็นความเข้าใจอันคลาดเคลื่อน  เธอสามารถผลักดันให้ตัวเองมาถึงจุดความสำเร็จได้เองโดยที่ไม่ต้องร้องขอให้ผู้ชายช่วยเหลือ