รีวิวทริคเล็กๆน้อย สำหรับคนจะไปซื้อเครื่องสำอางที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
victorym1051.อย่าซื้อเครื่องสำอางที่ร้านดองกี้
ร้านดองกี้เป็นร้านสารพัดอย่างที่เวลาใครจะไปญี่ปุ่น ทุกรีวิวจะต้องแนะนำให้ไป มีให้เลือกตั้งแต่ขนม ยันเซ็กส์ช้อป
แต่จริงๆแล้วเราอยากจะบอกว่าร้านดองกี้เป็นร้านที่ของ(หมวดเครื่องสำอาง)
มีให้เลือกค่อนข้างน้อย มีแต่ตัวที่คัดมาแล้วว่านักท่องเที่ยวชอบซื้อ คัดมาเฉพาะของฮิตๆในหมู่คนไทยและจีน ใครอยากได้ของแปลกๆน่ารักๆ จะหาไม่ค่อยได้จากร้านนี้ และที่สำคัญชอบเอาครีมอะไรก็ไม่รู้ที่คนญี่ปุ่นไม่ใช้กันมาวางขายถูกๆค่ะ จะมีแค่นักท่องเที่ยวที่หลงซื้อ ลองนึกถึงอารมณ์เหมือนร้านที่ขายของที่เน้นขายให้ทัวร์จีนในไทยนะคะ คนไทยแบบเราๆก็ไม่ค่อยซื้อกัน และที่สำคัญขายแพงกว่าร้านเครื่องสำอางอื่นๆ
ฺฮาดะลาโบะ ร้านดองกี้ขายอยู่ที่ 900 เยน
ในขณะที่ร้านอื่นๆขายประมาณ 700 - 800 เยนกว่าๆ เท่านั้น
ฟังดูอาจจะต่างไม่เยอะ
แต่คนที่ไปญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ไปเหมากันมาหลายๆขวดใช่ไหมคะ
บางคนก็เป็น 10ๆ ขวด
ทีนี้เริ่มเห็นส่วนต่างที่มันมากขึ้นของเศษๆเยนหรือยัง
ร้านดองกี้เป็นร้านสารพัดอย่างที่เวลาใครจะไปญี่ปุ่น ทุกรีวิวจะต้องแนะนำให้ไป มีให้เลือกตั้งแต่ขนม ยันเซ็กส์ช้อป
แต่จริงๆแล้วเราอยากจะบอกว่าร้านดองกี้เป็นร้านที่ของ(หมวดเครื่องสำอาง)
มีให้เลือกค่อนข้างน้อย มีแต่ตัวที่คัดมาแล้วว่านักท่องเที่ยวชอบซื้อ คัดมาเฉพาะของฮิตๆในหมู่คนไทยและจีน ใครอยากได้ของแปลกๆน่ารักๆ จะหาไม่ค่อยได้จากร้านนี้ และที่สำคัญชอบเอาครีมอะไรก็ไม่รู้ที่คนญี่ปุ่นไม่ใช้กันมาวางขายถูกๆค่ะ จะมีแค่นักท่องเที่ยวที่หลงซื้อ ลองนึกถึงอารมณ์เหมือนร้านที่ขายของที่เน้นขายให้ทัวร์จีนในไทยนะคะ คนไทยแบบเราๆก็ไม่ค่อยซื้อกัน และที่สำคัญขายแพงกว่าร้านเครื่องสำอางอื่นๆ
ฺฮาดะลาโบะ ร้านดองกี้ขายอยู่ที่ 900 เยน
ในขณะที่ร้านอื่นๆขายประมาณ 700 - 800 เยนกว่าๆ เท่านั้น
ฟังดูอาจจะต่างไม่เยอะ
แต่คนที่ไปญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ไปเหมากันมาหลายๆขวดใช่ไหมคะ
บางคนก็เป็น 10ๆ ขวด
ทีนี้เริ่มเห็นส่วนต่างที่มันมากขึ้นของเศษๆเยนหรือยัง
2.เช็คราคาหลายๆร้าน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ราคาสินค้าทุกหมวดผันผวนมาก
ยกตัวอย่างเช่น
ร้าน1ขายโค้กราคา 300 เยน
ร้านที่2ขาย 180 เยน
ของเหมือนกัน ขนาดเท่ากัน แต่ขายราคาต่างกันมาก
แล้วไม่ใช่ว่าร้านที่2จัดโปรโมชั่นนะคะ ถึงราคาถูกกว่า
เขาขายราคาปกติกันของเขาแบบนั้นจริงๆ
3.ราคาที่ญี่ปุ่นต้อง+ภาษีเข้าไปอีก8%
สินค้าที่วางขายบนชั้นในร้านต่างๆของญี่ปุ่นไม่ใช่ราคานั้นจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่น แชมพูเขียนป้ายที่ราคา 500เยน
เวลาจ่ายเงินจริงๆเราต้องจ่าย 540 เยน
อีก 40 เยน คือค่าภาษี8%ที่ยังไม่ได้บวกเข้ามา
ถ้าใครไปอเมริกามาก่อนก็พอจะเข้าใจคอนเสปนี้
คนไทยแบบเราๆคุ้นกับราคา Net คือรวมทุกอย่างมาหมดแล้ว
พอไปญี่ปุ่นครั้งแรก อาจจะงง ว่าทำไมราคาจ่ายแพงกว่าราคาป้ายละ
เขาโกงรึเปล่า เขาไม่ได้โกงค่ะ
จะซื้อร้านไหน เวลาดูราคาให้ดูที่ราคารวมภาษีไว้ก่อนเลย
เพราะในหลายๆครั้ง เราก็ซื้อของแค่เล็กๆน้อย
ไม่สามารถขอจ่ายแบบไม่เสียภาษีได้หรือที่เรียกว่า Tax Free ได้
บางร้านเองต่อให้ซื้อเยอะก็ไม่รับทำ Tax Free ด้วยค่ะ
ร้าน 100 เยน ส่วนใหญ่ไม่รับ Tax Free
เพราะงั้นถึงจะ 100 เยน แต่เวลาจ่ายจริงจ่าย 108 นะคะ
ส่วนคนไม่เก่งเลขไม่ต้องกังวลไป จะซื้ออะไรเกร็งไปหมด
หลายๆร้านเขาจะมีสองราคารวมภาษีกับไม่รวมภาษีบอกไว้เลย
4. ทำ Tax Free คืออะไร
ทำ Tax Free คือการซื้อของแบบไม่ต้องจ่ายภาษี8% เหมือนในข้อสาม
ร้านทั่วๆไปมักจะมีข้อกำหนดว่าเราจะต้องซื้อเป็นจำนวนเงินกี่เยน
เขาถึงจะรับทำ Tax Free ให้
ร้านเครื่องสำอางโดยทั่วไปจะเริ่มรับทำ Tax Free เมื่อซื้อเกิน 5,400 เยน ขึ้นไปค่ะ
วิธีง่ายๆคือมองหาเคาท์เตอร์คิดเงินที่เขียนว่า Tax Free
บางร้านก็ไม่มีค่ะ ทำ Tax Free ให้ทุกเคาท์เตอร์
ไม่ต้องงง ไม่ต้องกังวล
พนักงานเห็นเราหน้างงๆ เขากวักมือเรียกเราไปจ่ายให้ถูกที่เองค่ะ
ที่ต้องทำก็แค่ยื่นพาสปอร์ตให้พนักงาน
แล้วเขาจะใช้พาสปอร์ตเรารูดกับเครื่องคอม
จากนั้นก็จ่ายเงินเหมือนปกติค่ะ เขาก็จะคิดเราราคาที่ไม่ต้องจ่ายภาษี
แต่ร้านดองกี้ จะให้เราจ่ายราคาเต็ม+ภาษีก่อน แล้วไปทำเรื่องเอาเงินคืนทีหลัง
เราถึงไม่ค่อยชอบซื้อดองกี้เท่าไหร่นัก
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ราคาสินค้าทุกหมวดผันผวนมาก
ยกตัวอย่างเช่น
ร้าน1ขายโค้กราคา 300 เยน
ร้านที่2ขาย 180 เยน
ของเหมือนกัน ขนาดเท่ากัน แต่ขายราคาต่างกันมาก
แล้วไม่ใช่ว่าร้านที่2จัดโปรโมชั่นนะคะ ถึงราคาถูกกว่า
เขาขายราคาปกติกันของเขาแบบนั้นจริงๆ
3.ราคาที่ญี่ปุ่นต้อง+ภาษีเข้าไปอีก8%
สินค้าที่วางขายบนชั้นในร้านต่างๆของญี่ปุ่นไม่ใช่ราคานั้นจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่น แชมพูเขียนป้ายที่ราคา 500เยน
เวลาจ่ายเงินจริงๆเราต้องจ่าย 540 เยน
อีก 40 เยน คือค่าภาษี8%ที่ยังไม่ได้บวกเข้ามา
ถ้าใครไปอเมริกามาก่อนก็พอจะเข้าใจคอนเสปนี้
คนไทยแบบเราๆคุ้นกับราคา Net คือรวมทุกอย่างมาหมดแล้ว
พอไปญี่ปุ่นครั้งแรก อาจจะงง ว่าทำไมราคาจ่ายแพงกว่าราคาป้ายละ
เขาโกงรึเปล่า เขาไม่ได้โกงค่ะ
จะซื้อร้านไหน เวลาดูราคาให้ดูที่ราคารวมภาษีไว้ก่อนเลย
เพราะในหลายๆครั้ง เราก็ซื้อของแค่เล็กๆน้อย
ไม่สามารถขอจ่ายแบบไม่เสียภาษีได้หรือที่เรียกว่า Tax Free ได้
บางร้านเองต่อให้ซื้อเยอะก็ไม่รับทำ Tax Free ด้วยค่ะ
ร้าน 100 เยน ส่วนใหญ่ไม่รับ Tax Free
เพราะงั้นถึงจะ 100 เยน แต่เวลาจ่ายจริงจ่าย 108 นะคะ
ส่วนคนไม่เก่งเลขไม่ต้องกังวลไป จะซื้ออะไรเกร็งไปหมด
หลายๆร้านเขาจะมีสองราคารวมภาษีกับไม่รวมภาษีบอกไว้เลย
4. ทำ Tax Free คืออะไร
ทำ Tax Free คือการซื้อของแบบไม่ต้องจ่ายภาษี8% เหมือนในข้อสาม
ร้านทั่วๆไปมักจะมีข้อกำหนดว่าเราจะต้องซื้อเป็นจำนวนเงินกี่เยน
เขาถึงจะรับทำ Tax Free ให้
ร้านเครื่องสำอางโดยทั่วไปจะเริ่มรับทำ Tax Free เมื่อซื้อเกิน 5,400 เยน ขึ้นไปค่ะ
วิธีง่ายๆคือมองหาเคาท์เตอร์คิดเงินที่เขียนว่า Tax Free
บางร้านก็ไม่มีค่ะ ทำ Tax Free ให้ทุกเคาท์เตอร์
ไม่ต้องงง ไม่ต้องกังวล
พนักงานเห็นเราหน้างงๆ เขากวักมือเรียกเราไปจ่ายให้ถูกที่เองค่ะ
ที่ต้องทำก็แค่ยื่นพาสปอร์ตให้พนักงาน
แล้วเขาจะใช้พาสปอร์ตเรารูดกับเครื่องคอม
จากนั้นก็จ่ายเงินเหมือนปกติค่ะ เขาก็จะคิดเราราคาที่ไม่ต้องจ่ายภาษี
แต่ร้านดองกี้ จะให้เราจ่ายราคาเต็ม+ภาษีก่อน แล้วไปทำเรื่องเอาเงินคืนทีหลัง
เราถึงไม่ค่อยชอบซื้อดองกี้เท่าไหร่นัก
5.อย่าซื้อยิบย่อย ให้ซื้อใหญ่ๆไปเลย
เพราะเหตุในข้อ Tax Free นั่นแหละค่ะ ถ้าเราไม่ซื้อถึงเป้า เราก็จะโดนเก็บภาษีเพิ่ม8% ทำให้เราต้องโดนบังคับซื้อของแพงโดยใช่เหตุ ถ้าใครไปญี่ปุ่นแล้วมีเวลา เดินสำรวจสินค้าที่อยากได้ แล้วดูเลยว่าเราจะตกลงปลงใจกับร้านไหน แล้วก็ซื้อร้านนั้นๆไปเลยให้ถึงยอด อย่าซื้อหลายๆครั้ง โดยที่ไม่ได้คืน Tax Free
6.สิ่งที่ควรขนกลับมาคือครีมกันแดด ทุกยี่ห้อ
กันแดดญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เนื้อเบา สบายผิว
แล้วที่สำคัญราคาถูกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ยิ่งบางครั้งจะมีจัดโปรหลอดละ500เยน
แต่โดยทั่วไป กันแดด1หลอด จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 6 - 800 เยน
ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ยี่ห้อที่ฮิตๆ หลอดสีฟ้าๆ หลอดนึงคิดเป็นบาทแล้วประมาณ180-230บาท
ในขณะที่เมืองไทยขาย 420 บาท บ้าไปแล้ววว
เพราะเหตุในข้อ Tax Free นั่นแหละค่ะ ถ้าเราไม่ซื้อถึงเป้า เราก็จะโดนเก็บภาษีเพิ่ม8% ทำให้เราต้องโดนบังคับซื้อของแพงโดยใช่เหตุ ถ้าใครไปญี่ปุ่นแล้วมีเวลา เดินสำรวจสินค้าที่อยากได้ แล้วดูเลยว่าเราจะตกลงปลงใจกับร้านไหน แล้วก็ซื้อร้านนั้นๆไปเลยให้ถึงยอด อย่าซื้อหลายๆครั้ง โดยที่ไม่ได้คืน Tax Free
6.สิ่งที่ควรขนกลับมาคือครีมกันแดด ทุกยี่ห้อ
กันแดดญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เนื้อเบา สบายผิว
แล้วที่สำคัญราคาถูกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ยิ่งบางครั้งจะมีจัดโปรหลอดละ500เยน
แต่โดยทั่วไป กันแดด1หลอด จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 6 - 800 เยน
ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ยี่ห้อที่ฮิตๆ หลอดสีฟ้าๆ หลอดนึงคิดเป็นบาทแล้วประมาณ180-230บาท
ในขณะที่เมืองไทยขาย 420 บาท บ้าไปแล้ววว
7.เครื่องสำอางและสกินแคร์ในดรักสโตร์เกือบทุกอย่างเอาราคาที่ขายในไทยหาร2
ราคาเมืองไทยขายเท่าไหร่ เอาหารด้วย2 นั่นคือราคาขายในญี่ปุ่น เผลอๆบางยี่ห้อถูกมากกว่าครึ่งด้วยค่ะ
8.สิ่งที่ไม่ควรซื้อกลับมา คือโฟมล้างหน้าวิป
เพราะราคาในไทยและญี่ปุ่นไม่ได้ต่างกันมาก ในญี่ปุ่นขายประมาณ 150กว่าบาท ส่วนไทยขาย 189 บาท มีทุกสูตรเหมือนที่ขายในญี่ปุ่น อย่าไปฝากเพื่อนซื้อล่ะ
หนักกระเป๋า เสียเวลา เอาเงินไปซื้ออย่างอื่น
9.เตรียมใจ พบกับความละลานตาของร้านเครื่องสำอางที่ญี่ปุ่น
ไม่เกินไปเลยที่จะใช้คำนี่ เพราะที่ญี่ปุ่นเรียงข้าวของแน่นมากๆ จากเท้าจรดเพดาน
ช่องทางเดินเหลือแค่แคบๆ นอกนั้นคือชั้นวางของ
แถมยังเป็นภาษาที่เราอ่านไม่เข้าใจ เขียนขะยุกขยิก ยิ่งพาให้ชวนตาลาย
ทางที่ดี ทำลิสต์เอาไว้ ว่าตัวเองอยากได้อะไร จะได้หยิบถูกและไม่ไคว้เขวค่ะ
ราคาเมืองไทยขายเท่าไหร่ เอาหารด้วย2 นั่นคือราคาขายในญี่ปุ่น เผลอๆบางยี่ห้อถูกมากกว่าครึ่งด้วยค่ะ
8.สิ่งที่ไม่ควรซื้อกลับมา คือโฟมล้างหน้าวิป
เพราะราคาในไทยและญี่ปุ่นไม่ได้ต่างกันมาก ในญี่ปุ่นขายประมาณ 150กว่าบาท ส่วนไทยขาย 189 บาท มีทุกสูตรเหมือนที่ขายในญี่ปุ่น อย่าไปฝากเพื่อนซื้อล่ะ
หนักกระเป๋า เสียเวลา เอาเงินไปซื้ออย่างอื่น
9.เตรียมใจ พบกับความละลานตาของร้านเครื่องสำอางที่ญี่ปุ่น
ไม่เกินไปเลยที่จะใช้คำนี่ เพราะที่ญี่ปุ่นเรียงข้าวของแน่นมากๆ จากเท้าจรดเพดาน
ช่องทางเดินเหลือแค่แคบๆ นอกนั้นคือชั้นวางของ
แถมยังเป็นภาษาที่เราอ่านไม่เข้าใจ เขียนขะยุกขยิก ยิ่งพาให้ชวนตาลาย
ทางที่ดี ทำลิสต์เอาไว้ ว่าตัวเองอยากได้อะไร จะได้หยิบถูกและไม่ไคว้เขวค่ะ
10.คนญี่ปุ่นเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ตอบกลับมาไม่ได้
Google Translate โหลดไว้ในมือถือ เวลาเราไม่เข้าใจคำไหน เอามือถือจ่อปาก ให้เขาพูดใส่มือถือแล้วให้กูเกิ้ลแปลเลย มันอาจจะแปลตลกๆนิดนึง แต่ก็ทำให้เราจับทางได้ว่าเขากำลังพูดอะไร ถ้าเป็นร้านยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวเยอะๆ ส่วนใหญ่จะมีพนักงานคนนึงหรือสองคนที่พูดอังกฤษได้ แต่พนักงานที่เหลือมักจะพูดไม่ได้เลย ทำให้เราต้องใช้สกิลภาษามือ หรือภาษามั่วกันเอาเอง คนญี่ปุ่น โดยเฉพาะพนักงานขายค่อนข้าง Nice ค่ะ สงสัยอะไร ถามเขาได้เลย ส่วนใหญ่ยินดีจะตอบ แม้จะตอบไม่ได้ก็พยายามใบ้คำกับเราเต็มที่
นี่ก็เป็นทริคเล็กๆน้อยๆที่เราไปได้มาจากการไปญี่ปุ่นนะคะ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีทริคที่ดีกว่าก็เชิญร่วมมาแชร์กันได้
Discussion (5)