ไอดอลที่เคยผ่านประสบการณ์ถูกเหยียดเชื้อชาติ

จากกรณีไอดอลสาวไทยที่ต้องผจญคำวิจารณ์รุนแรงชาวเน็ท "บางกลุ่ม" ที่ส่อถึงปัญหาการแบ่งแยกทางเชื้อชาติอย่างแจ่มแจ้งนั้น ทำให้เรารวบรวมเรื่องราวของไอดอลที่ถูกเหยียดมาให้ลองวิเคราะห์กัน

ไม่ว่าจะเป็นไอดอลต่างชาติที่ไปสร้างชื่อเสียงที่เกาหลีใต้
ไอดอลสัญชาติเกาหลีลูกครึ่งเกาหลี
หรือจะเป็นไอดอลเกาหลีแท้ๆ ที่โด่งดังระดับอินเตอร์และเริ่มเจาะตลาดตะวันตกได้ แต่ก็มีดราม่าถูกเหยียดซ้ำแล้วซ้ำอีก

มาติดตามกันสิคะ  


Jeon Somi


สาววัยทีนนี้เป็นลูกครึ่งแคเนเดี้ยน - เกาหลี เข้าสู่วงการไอดอลด้วยตำแหน่งอันดับ 1 จากรายการ Produce 101 และเข้าใกล้ที่จะได้เดบิวท์เป็นสมาชิกวง Twice แต่ถูกคัดตัวออกก่อน และกำลังพยายามเริ่มต้นงาน solo กับค่ายลูกของ YG

เคยมีกระแสเกรียวกราวว่าอีกไม่นานเธออาจจะกลายเป็นไอดอลระดับซุปตาร์ที่มีฐานแฟนคลับจาก reality show แต่เธอเคยทุกข์ใจกับรูปลักษณ์ของลูกครึ่งผิวขาว จนอยากทำศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าให้ดูเกาหลีมากขึ้นเพราะต้องผจญกับคำพูดล้อเลียนเรื่องเลือดผสม และทำให้เธอไม่มั่นใจในการพยายามเพื่อความสำเร็จในวงการ K-Pop

"ชั้นเคยได้ยินเรื่องราวทำนองว่าจะรับได้แต่เฉพาะคนเกาหลี ไม่เอาคนต่างชาติ และมันทำให้คิดว่า ชั้นคงเป็นศิลปิน K-Pop ไม่ได้เพราะชั้นเป็นลูกครึ่ง แต่ตอนนี้วันเวลาเปลี่ยนไป ผู้คนคงจะปรับแนวคิดกันแล้วค่ะ"

 
เธออาจจะเป็นที่ชื่นชมจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นบวกกับความสามารถที่โดดเด่นเกินวัยทำให้มีค่ายใหญ่ๆ สนใจเรียกตัวเข้าไปร่วมงานด้วย แต่ก็น่าฉุกคิดว่า แนวคิดเรื่อง "เลือดบริสุทธิ์" นั้นยังแฝงตัวอยู่ในสังคมเกาหลี ถึงจะไม่ได้ประกาศต่อต้านกันอย่างโจ่งแจ้ง ก็ยังมีผู้ใหญ่ที่ถ่ายทอดแนวคิดเหยียดชาวต่างชาติให้กับลูกหลาน ชาวเน็ทบางคนวิเคราะห์ว่า เพราะ Jeon Somi มีใบหน้าที่เข้ากับ beauty standard แบบ Gangnam Style เธอมีใบหน้าเล็กและ dolly eye แบบไม่ต้องพึ่งมีดหมอ แม้เห็นชัดว่าเป็นลูกครึ่ง แต่ก็ดู blend ไปกับไอดอลสาวๆ อีกหลายคนที่นำเสนอความสวยน่ารักแบบตุ๊กตา และมันอาจจะทำให้ชาวเกาหลีตอบรับเธอโดยไม่สร้างอคติเรื่องความเป็นต่างชาติมาขวางกั้น

(แต่ท่ามกลางความชื่นชมนั้น ก็ยังมีคนจิกกัดเธอว่าคงจะสวยได้เฉพาะตอนนี้ แต่ในอนาคตคงเหี่ยวไวเพราะได้กรรมพันธุ์ฝรั่ง ไม่หน้าเด็กเหมือนคนเกาหลี )


แต่สำหรับศิลปินลูกครึ่งอีกคน เธอต้องเจออะไรที่แรงกว่านั้น


Shannon  Williams

สาวลูกครึ่งเกาหลี - เวลส์ ที่เดินทางจากอังกฤษมาสานฝันในการเป็นศิลปิน K-Pop และเคยพลาดแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ชาวเน็ทไม่พอใจจนถูกขู่ฆ่ามาแล้ว
บางคนอาจจะสงสัยว่าคำพูดเกรี้ยวกราดพวกนี้จะมาจากแฟนเกิร์ลของไอดอลที่มีข่าวลือคู่กับเธอ พวกเค้าเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่คนเกาหลีก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม Shannon เคยเปิดใจเรื่องกระแสแอนตี้เรื่องความเป็นต่างชาติผ่านรายการ TV มาแล้ว เธอไม่ได้อาศัยที่เกาหลีเหมือนกับ Jeon Somi แต่เป็นสาวอังกฤษเต็มขั้น การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่างที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดูขัดตาชาวเกาหลีนั้นเรียกเสียงวิจารณ์ในแง่ลบหลายครั้ง เธอได้ยืนยันกับพิธีกรรายการ TV ว่าไม่ได้เป็นคนนอกอย่างเต็มตัวอย่างที่ถูกมอง เลือดชาวเกาหลีครึ่งหนึ่งได้ไหลเวียนในตัว แต่ทุกคนกลับเรียกว่าต่างชาติและโจมตีเธอแรงๆ ฝ่ายพิธีกรก็ได้แต่บอกให้ทำใจเพราะสิ่งปฏิเสธไม่ได้คือชาวเกาหลีนั้นยังมีอคติกับคนต่างชาติอยู่จริงๆ  
Shannon ต้องพบเจอกับ scandal ครั้งใหญ่ เมื่อเธอผิดพลาด ร้องเพลงคลอตาม Beyonce และไม่ยอมเว้นวรรค N word ซึ่งเป็นคำต้องห้ามของคนที่ไม่ได้มีเชื้อสายแอฟริกัน เธอถูกกล่าวหาว่าเหยียดเกย์เพราะล้อเพื่อนไอดอลตอนทำท่าแบ๊วๆ ว่า "นายนี่เกย์จัง" และถูกโจมตีอย่างหนักถึงขนาดมีคำขู่ฆ่านับสิบจนเธอต้องรีบออกมาวิงวอนขอโทษต่อความผิดนั้น  

ขอยืนยันว่าเราไม่ได้เข้าข้างใครที่ใช้ N word และล้อคนอื่นว่าเป็นเกย์ แต่ก็เคยดราม่าของไอดอลเกาหลีที่ล้ำเส้นเรื่องวัฒนธรรมเข้าขั้นเหยียดผิวมาแล้ว ทั้งแต่ง black face พูด N word แม้จะมีกระแสโจมตีขึ้นมา แต่ก็ไม่ดูรุนแรงขั้นนี้
Shannon ต้องพบเจอกับ scandal ครั้งใหญ่ เมื่อเธอผิดพบาด ร้องเพลงคลอตาม Beyonce และไม่ยอมเว้นวรรค N word ซึ่งเป็นคำต้องห้ามของคนที่ไม่ได้มีเชื้อสายแอฟริกัน   เธอถูกกล่าวหาว่าเหยียดเกย์เพราะล้อเพื่อนไอดอลตอนทำท่าแบ๊วๆว่า "นายนี่เกย์จัง"   และถูกโจมตีอย่างหนักถึงขนาดมีคำขู่ฆ่านับสิบจนเธอต้องรีบออกมาวิงวอนขอโทษต่อความผิดนั้น  

ขอยืนยันว่าเราไม่ได้เข้าข้างใครที่ใช้ N word และล้อคนอื่นว่าเป็นเกย์   แต่ก็เคยดราม่าของไอดอลเกาหลีที่ล้ำเส้นเรื่องวัฒนธรรมเข้าขั้นเหยียดผิวมาแล้ว  ทั้งแต่ง black face พูด N word   แม้จะมีกระแสโจมตีขึ้นมา แต่ก็ไม่ดูรุนแรงขั้นนี้


TAO  อดีต Member Exo



แม้จะประสบความสำเร็จและกลายเป้นำอดอลต่างชาติที่แฟนๆ เกาหลีคลั่งไคล้ แต่ TAO ก็มาตกในกระแสต่อต้านเมื่อมีดราม่าแยกตัวจากวง

จากความชื่นชมก็ผันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ความเห็นประเภทไล่ให้ Tao กลับจีนไปซะ วงการ K-Pop ไม่ต้องการความจีน หรือแค่ค่ายยอมรับให้มาเป็นไอดอลก็เป็นบุญแล้วก็เริ่มพุ่งกระหน่ำขึ้นมา สำหรับแฟน K- Pop จำนวนหนึ่ง แม้จะยังไม่ทราบเหตุผลของฝั่งศิลปิน การแยกตัวจากวงก็ถือเป็นเรื่องทรยศพอๆ กับการแอบมีแฟนนั่นเอง
มักจะมีข่าวลือออกมาว่า ไอดอลต่างจากนั้นต้องเผชิญกับความไม่แฟร์จากต้นสังกัด หรือแม้แต่ตอนที่ยังเป็น trainee ก็อาจจะไม่ได้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนร่วมค่ายเพราะอคติเรื่องคนต่างชาติที่จะมาเบียดแย่งพื้นที่ในการ debut ไอดอลบางคนที่ได้ผ่านพ้นช่วงพีคไปแล้วก็เคยเปิดใจว่าชีวิตที่ต้องทำตามคำสั่งจากต้นสังกัดอย่างเข้มงวดและความกดดันหลายประการก็ทำให้ไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากสมาชิกในวง สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ไอดอลต่างชาติพยายามฉีกสัญญากับค่ายยักษ์ใหญ่ ตัว TAO เองก็ได้รวมเรื่องการแบ่งแยกทางเชื้อชาติเข้าไปในสาเหตุที่ฟ้องร้อง SM ด้วย  

เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เป็นข่าวแปลกใหม่ของจักรวาล K-Pop แต่อย่างใด เมื่อไม่นานมานี้เราก็เคยได้ยินจากแฟน Blackpink วัยทีนว่า บางครั้ง costume ของ Lisa ก็ไปตรงกับ backup dancer ในขณะที่เพื่อนร่วมวงบางคนที่ออกงานพร้อมกันได้ใส่ชุดดีไซน์เนอร์ราคาแพง ประเด็นเสื้อผ้าราคาเบาๆ นั้นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับเรื่องสไตล์ที่ชื่อก็บอกชัดๆ ว่า backup dancer ชุดของพวกเธอต้องกลมกลืนช่วยขับให้ศิลปินดูโดดเด่นตรงจุดกึ่งกลาง และมันทำให้แฟนๆ ของ Lisa เคืองไม่น้อยเลยทีเดียว

BTS

บอยแบนด์ที่เป็นความภูมิใจของชาวเกาหลีจำนวนมากมาย ก็ระดับที่เมื่ออัลบั้มขึ้นอันดับ 1ชาร์ท Billboard 200 ประธานาธิบดียังต้องส่งข้อความแสดงความยินดีผ่าน  social media
กองทัพแฟนคลับของพวกเค้าขยายตัวไปหลายประเทศทั่วโลก แต่กระนั้น BTS ก็ต้องพบกับเรื่อง discrimination มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือชาวเน็ทก็ดูจะไม่ลดดีกรีลงไปเลย
หนุ่มๆ ได้สร้างปรากฏการณ์ให้วงการดนตรีทั่วโลกได้ตื่นเต้น ทั้งยอดขายและกระแสความนิยม K-Pop ที่พุ่งสูงขึ้น สื่อตะวันตกมากมายนำเสนอเรื่องราวของพวกเค้าด้วยความทึ่และยกให้เป็นบอยแบนด์ที่ดังที่สุดในโลก แต่ก็ยังมีอีกหลายสื่อที่ไม่ปกปิดอคติ และบรรยายถึงบอยแบนด์เกาหลีด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อถือปนเยาะเย้ย

"RM พูดภาษาอังกฤษด้วยความมั่นใจอย่างเหลือล้น จังหวะการออกเสียงก็ไม่ผิดพลาด แต่ถึงแม้จะมีคนบอกว่าเขามี IQ สูงถึง 148 การวางประโยคแบบงงๆ ของเขาทำให้นึกถึง Joey มากกว่าจะเป็น Chandler"

The Times ได้พาดพิงถึงทักษะภาษาอังกฤษของ RM ผู้เป็น leader ของวงจากเรื่องราวที่เค้าเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษด้วยการดูซีรีส์เรื่อง Friends ซ้ำไปมา และเหน็บแนมว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนกับ Joey ที่เป็นแคแรคเตอร์หนุ่มเอ๋อไม่ค่อยจะฉลาดนัก และยังบรรยายถึงรูปลักษณ์ของ BTS ราวกับว่ามันเป็นเรื่องพิลึก นักข่าวยังแสดงความกังขาที่หนุ่มๆ เหล่านี้เป็นซุปตาร์แห่งเอเชีย แต่กลับไม่มีข่าวควงคู่กับสาวๆ (ที่จริงแล้วแค่ google ก็คงรู้ว่าเป็นเพราะนโยบายต้นสังกัดและตารางงานแน่นจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่คงเปรยขึ้นมาเพราะอะไรบางอย่าง)

"พวกเขาใส่เสื้อยืดเต้นแต่ไม่เห็นร่องรอยของกล้ามท้องเลย ถึงจะใส่กางเกงหนังแต่ก็ไม่เคยลูบเป้าหรือเต้นเบียดชิดกับผู้หญิง"

รูปลักษณ์ที่เอนไปทาง feminine ทำให้หลายคนนำไปเชื่อมโยงกับรสนิยมทางเพศแล้วนำมาล้อเลียนราวกับว่ามันมุกตลกมากมาย stereotype นี้อยู่กับบอยแบนด์เกาหลีมาเนิ่นนาน


หรือจะเป็นผู้ประกาศข่าว “World News Now”  จากช่อง ABC ที่รายงานเรื่องการพูดสุนทรพจน์ในการประชุม UN ของหนุ่มๆ ด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมคล้ายๆ กับจะบอกว่า "เป็นแค่" บอยแบนด์จากเกาหลีที่เปลี่ยนมาดมามีสาระในการประชุมระดับโลก


"แฟนๆ เคยเห็นแต่ตอนที่พวกเค้าเต้นฉีกแข้งฉีดขาบนเวทีและ video" ผู้ประกาศข่าวจากอเมริกาได้บรรยายเนื้อหาที่ RM ที่ได้เป็นตัวแทนพูดเรียกร้องให้ผู้คนแสดงตัวตนของตัวเองแบบกลั้วหัวเราะ ด้วยความขำเรื่องการใช้คำว่า speak yourself และฝ่ายชายก็ได้ตัดบทการนำเสนอของเพื่อนร่วมงานหญิงว่า "นี่กลุ่มบอยแบนด์จากเกาหลีเหอะ" ด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อถือเต็มที่แม้เธอจะพยายามพูดต่อแบบประนีประนอมว่า "พวกเค้าก็พยายามทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีอยู่นะ" แต่เขาก็ส่ายหน้าแบบเอือมๆ ว่า "พวกเขาเทรนการเต้นได้อย่างพร้อมเพรียงต่างหาก"

แม้ว่าผู้ประกาศชายจะออกมาขอโทษตามที่แฟนๆ ของ BTS เรียกร้อง แต่เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังมีคนต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่มองศิลปิน K-Pop อย่างขำขันไปถึงขั้นดูถูก

ตอนที่ได้รับรางวัล Top Social Artist จาก Billboard อันเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหนุ่มๆ กลุ่มนี้ แต่กลับถูกชาวเน็ทจิกกัดเกลื่อน Twitter

ผู้ชายเอเชียนที่แต่งหน้าพวกนี้เป็นใครกัน เค้าชนะศิลปินดังๆ ตัวจริงไปได้ยังไง

บอกตรงๆ ฟังที่เค้าพูดภาษาอังกฤษตอนรับรางวัลไม่เข้าใจสักนิด

แม้ว่าการแสดงบนเวทีของพวกเค้าจะสร้างความประทับใจให้ผู้จนได้รับ standing ovation คนดังฮอลลีวู้ดก็แสดงความชื่นชมหนุ่มๆ จากเกาหลีอย่างออกนอกหน้าก็ยังไม่สามารถหยุดการกีดกันทางเชื้อชาติได้




ยังรวมไปถึงตอนที่พวกเค้าถูกพิธีกรชาวเม็กซิกันจิกกัดว่า ถึงจะใส่ชุด Gucci แต่ก็ยังดูแป้กอยู่ดี ดูแล้วเหมือนชาว LGBT "นี่เป็นชายแท้กันหมดวงเลยเหรอ เหมือนคนทำงานในคลับชาวเกย์ซะมากกว่า" เขายังร่ายต่อว่า BTS นั้นดูผอมแห้งและทรงผมเห่ย เมื่อถูกแรงกดดันจากโลกออนไลน์ก็ได้ส่งคำขออภัยออกมา แต่พวกเราก็ทราบกันว่ามันคงไม่ได้ใส่ความจริงใจลงไปเท่าใดนัก



Lisa Blackpink

แฟนๆ หลายคนยืนยันว่า ความเห็นโจมตีน้อง Lisa นั้นเป็นเพียงส่วนน้อยจาก anti fan ที่มีใจอคติ ประกอบกับข่าวคราวเสียหายเรื่องแรงงานผิดกฎหมายในเกาหลีที่มีอาชีพพิเศษเป็นจำนวนมากนั้นทำให้ชาวเกาหลีจำนวนหนึ่งมองคนไทยด้วยสานตาที่ไม่ชื่นชมนัก

Discussion (9)

เมื่อก่อนตอนเด็กๆเราเคยติ่งเกามาก่อนค่ะ ติ่งจนรู้นิสัยคนเกาหลีจนตอนนี้กลายเป็นแอนตี้ไปเลย55
เราจำได้ว่านิชคุณก็โดนไม่น้อย แต่เค้าหน้าตาฟาดไอดอลชายยุคนั้นขาดคนเลยอ้ำๆอึ้งๆ และชาวเน็ตที่ส่วนใหญ่เป็นผญจะไม่ค่อยเล่นงานผช แต่ถ้าเป็นผญจะโดนหนัก นิชคุณนี่เวลาไปออกรายการบางทีพิธีกรเผลอเหยียดจนสีหน้าชะงักไปหลายรอบ คอมเม้นก็จะมีไล่กลับประเทศโลกที่3ไรงี้
ชาติฝั่งตะวันตกจะมองศลปฝั่งเอเชียทั้งนักร้องและนักแสดงตลกและไม่มีความสามารถพอ ด้วยความที่เวลาเล่นละครฝั่งเราจะเล่นใหญ่แบบโอเว่อร์ นางเอกเกาสะอื้นใหญ่มาก นักร้องก็ดูต้องเต้นให้พร้อมเพรียงเน้นหน้าตา มันเป็นสไตล์คนเอเชียแต่ไม่ใช่แนวฝรั่งที่ชอบอะไรชิคๆนางเลยหาเรื่องมาเหยียด ช่วงSNSDกำลังพีคๆไปไหนคนก็กรี๊ด ครั้งนึงเคยไปเต้นเปิดรายการ Good morning America (ถ้าจำไม่ผิด) สีหน้าพิธีกรกับผู้ชมในห้องตลกขบขันกันมาก

แต่เกาหลีนี่ยอนแยงสุดคือต้องการให้ต่างชาติยอมรับแต่ตัวเองกลับเยียดต่างชาติสุดๆ เราว่าเค้าเห็นแก่ตัวมากเกินไป ในเอเชียเราว่าเกาหลีเหยียดชาติรุนแรงสุด (จริงๆญี่ปุ่นก็เหยียดนะแต่เค้ายังรู้ว่าการกระทำนี้เป็นเรื่องไร้มารยาท) ส่วนนึงเราคิดว่าเพราะเค้าเพิ่งเปิดประเทศไม่นาน ประเทศที่คนภายในไม่ได้เปิดหูเปิดตาจะคิดว่าตัวเองดีที่สุดในโลก(อันนี้เรื่องจริงเพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั่น) และการยอมรับแนวคิดใหม่ๆต้องใช้เวลาปรับตัวนานอย่างเมื่อก่อนไทยก็ไม่ได้ยอมรับเพศที่3เท่าวันนี้ เกาหลีเพิ่งเลิกต่อยกันใสสภามาไม่นานเลย บวกกับการที่เคยโดนญี่ปุ่นยึดไปเค้าเจ็บแค้นมาก คนเกาหลีจะพยายามแข่งกับญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน(เพื่อนไต้หวันบอกเราเองว่าจะแพ้ใครก็ได้แต่แพ้พวกนี้ไมได้เด็ดขาด) และเอาจริงๆคนเอเชียยังไงก็คือคนเอเชียวันยังค่ำเค้าเลยรู้สึกว่าการไปตีตลาดฝรั่งได้คือความสำเร็จ
สำหรับฝรั่งก็มองแค่มีบอยแบรนด์จากเอเชียวงนึงอัลบัมติดชาร์ท และเพลงแปลกใหม่ดี เค้าไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากนี้แต่สำหรับเกาหลีเป็นเรื่องยิ่งใหญ่จนผู้นำประเทศยังดีใจ 

เรามองว่าจริงๆคนเอเชียฝังหัวว่าชาติตะวันตกเหนือกว่าตัวเองตั้งแต่เกิด เพราะเราไม่เคยเห็นศลปตะวันตกพยายามมาตีตลาดเอเชีย เค้าอยู่เฉยๆแต่เราต้องไปหาเพลงมาฟังกัน ไอดอลเกาcoverเพลงฝรั่งคือเท่ แต่ฝรั่งไม่คิดจะลดชั้นมาcoverเพลงเกา ความสำเร็จของเซเลปเอเชียคือการได้ไปเดินคานส์ และทุกคนพยายามดีดตัวเองให้ไปจุดนั้น แต่ฝรั่งไม่เคยคิดจะมาเดินพรมแดงในเอเชียกัน คนเอเชียไปเรียนตปทแสดงว่ารวยและเก่ง แต่ฝรั่งไม่ได้คิดว่ามาเรียนเอเชียเป็นเรื่องดี คนเอเชียชอบมองว่าแบรนด์เนฝรั่งดีกว่าด้วย ที่อิตาลีกุชชี่มีไว้ขายคนเอเชีย แต่คนพื้นเมืองซื้อเสื้อผ้าตามตลาด เราไม่ได้ชื่นชมฝรั่ง เราเกลียดที่สุดคนเหยียดชาติ แต่เรามองว่าส่วนหนึ่งเพราะเรากดตัวเองให้ด้อยกว่าเค้าโดยไม่รู้ตัว

 กับไทยเกาหลีเหมือนกัน เพราะไทยเชิดชูและมองเกาหลีสูงอยู่ตลอดเค้าเลยไม่ให้เกียรติเราทั้งที่รายได้จากคนไทยไม่ใช่น้อยๆ เดินเมียงดงยังกะเดินสยาม
การเยียดชาติไม่ใช่เรื่องของคนแต่ละชาติ แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกความเป็นมนุษย์มากกว่าค่ะเราว่า คนชาติไหนก็ชอบทำถ้าเค้าไร้จิตสำนึก เราจะเอาไปทำกับคนที่รู้สึกต่ำกว่า ฝรั่งเหยียดเอเชีย เกาหลีมาเหยียดอาเซียน คนไทยอย่าคิดว่าตัวเองดีว่าไม่เหยียดใครเลย เพราะเราเกือบจะเป็นจุดต่ำสุดในวงจรนี้เราเลยเหลือประเทศเพื่อนบ้านให้เหยียดไม่กี่ประเทศเท่านั้นเอง

ฝรั่งคัฟเวอร์เกาก็เยอะนะคะ ตอน SNSD ดังๆ มีเพลงของวงที่ถูกคนต่างชาติเอาไปคัฟเวอร์เยอะมาก ในหลายๆ เวอร์ชั่น ที่เราชอบสุดคือเวอร์ชั่น R&B โดนสาวผิวดำคนนึง มันเพราะมากจนคนดูไปหลายล้านวิวเลย

ท่าเต้นกังนัม สไตล์ของไซเอง ในรายการทีวีกับซิทคอมต่างๆ ของอเมริกา มีเอาไปเต้นกันเป็นท่าฮิตเลย

เราว่านี่ก็เป็น stereotype ใน stereotype อย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ที่คิดว่าคนโลกตะวันตกไม่ยอมรับและดูแคลนคนเอเชีย มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปค่ะ
บังทันจะไปมีแฟนกันได้ยังไง เวลานอนยังจะไม่ค่อยมีเล้ย ปีๆนึงออกเพลงทั้งปี เล่นคอนเสิร์ตทั้งปี ทำเพลงกันอีกตังหาก ไม่นับเวลาซ้อมเต้นอีกนะ ยิ่งสองปีมานี้ดังระเบิดระเบ้อ คงจะได้ไปเดทกับใครหรอกค่ะ555 ถึงคบใครก็คงไม่ได้นาน นอกจากจะรักกันมั่นคงจริงๆอะนะ เวลานอนยังจะไม่ค่อยมีเล้ย นึกถึงดงบังชินกิสมัยพีคๆ เคยไปเช็คว่าปีๆนึงคำแบ็คกี่หน คือคำแบ็คทั้งปี ออกเพลงทุกสามเดือนเลยจะบ้าตาย สงสารศิลปินมาก อยากให้ไปพักใช้เงินใช้ทองบ้าง บังพีดียังบอกให้เด็กๆบังทันไปเที่ยวไปพักผ่อนเลยค่ะ ตลกจริง เป็นวงที่ทำงานกันหนักมาก วีดีโอ ถ่ายกันแทบตลอดเวลา เป็นเราคงรำคาญตายเลย ความเป็นส่วนตัวน้อยน่าดูเลย
เคยอ่านเจอซึ่งนานแล้วว่าคนเกาหลีจะไม่ชอบต่างชาติและพวกลูกครึ่งไม่ว่าครึ่งตะวันตกหรือครึ่งตะวันออก แต่เขาจะยกย่องคนเกาหลีบริสุทธ์ที่เติบโตมาจากต่างแดนมากกว่าค่ะ 
อีกคนก็คือฮันฮยอนมิน ฮันฮยอนมินไม่ใช่ไอดอลนะเขาเป็นโมเดล ฮยอนมินเป็นครึ่งเกาหลีไนจีเรีย แล้วก็โดนตั้งแต่เด็กๆเลยเพราะเรื่องสีผิว จากรายการ Radio Star ฮยอนมินบอกว่าโดนเรื่อง appearance ตั้งแต่เข้าอนุบาล เรียกประมาณว่าไอ้ดำอะไรประมาณนี้ค่ะ พ่อแม่คนอื่นที่มารับลูกบางคนก็จะแบบอย่าเข้าไปเล่นกับเด็กคนนี้นะ แต่ถ้าลองไปดูจะเห็นได้ว่าฮยอนมินเป็นคนที่ค่อนข้างสดใสและตลกมากๆเลยค่ะ
ประเด็นสำคัญนะคะ เป็นคนเอเชียนด้วยกันเค้าน่าจะเข้าใจความเจ็บปวดในการไปอยู่ต่างถิ่นแล้วถูกเหยียดหยัน และเค้าพยายามส่ง K Pop ขายทั่วโลก ต้องเอาชนะอคติจากชาติอื่นๆให้ได้ บอยแบนด์ที่ดังมากๆและสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จก็ยังถูกคนตะวันตกหยามเอาซึ่งๆหน้า เหมารวมว่าดูเหมือนเพศที่ LGBT พูดอังกฤษสำเนียงตลก ขายหน้าตา เพลงไม่มีคุณภาพ สารพัดจะด่า และแฟนๆต่างก็เจ็บแค้นแทนศิลปิน ร่วมเรียกร้องให้ยุติเรื่องการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ในขณะที่วง K Pop ต้องก้าวข้ามพิสูจน์ตัวเองเพื่อเจาะตลอดต่างประเทศให้ได้ แต่พอเป็นไอดอลต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่ "pure blood" ก็ต้องพบกับการกีดกันแบบนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถูกจัดหนักมากกว่าชายที่แสดงให้เห็นถึงการเหยียดเพศในสังคมชายเป็นใหญ่ไปอีก  ในขณะที่คนเอเชียนในตะวันตะตกพยายามจับมือกันเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเท่าเทียม และศิลปินเอเชียนก็เริ่มโด่งดังขึ้นมาบ้างแล้ว  (ลองนึกถึงCrazy Rich Asian   Sandra Oh   Stephen Yeun)  แต่พอมาถึงประเทศในเอเชียนเองกลับเหยียดกันไปมา วนกันอยู่แค่นี้  ไม่ยอมก้าวไปไหนต่อ   คนเอเชียนที่เป็น minority ในสังคมหนึ่งต้องต่อสู้กับการเหยียดผิวจะได้ไม่ผจญกับการถูกล้อเลียนหน้าตา  เหมารวมว่ากินหมา สกปรก ยากจน แล้วไล่ให้กลับประเทศ    แต่พอมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียก็ยังไล่ชาวต่างชาติให้กลับไปหากินในประเทศของตัวเอง  ตลกร้ายจริงๆ
เกลียดตรงคำว่า ลิซ่ามาจากประเทศด้อยพัฒนา ได้ยินคำนี้แล้วโกรธมากๆ ทำไมไม่มองที่ความสามารถเขานะ ถึงประเทศเราจะด้อยพัฒนาก็จริง แต่ก็ไม่ดูถูกใครเหมือนพวกประเทศที่พัฒนาแล้ว (แต่จิตใจยังต่ำเตี้ยเลี่ยดิน) อย่างพวกคุณนะ โกรธ!!!!
แน่ใจเหรอว่าคนในประเทศเรานี่ไม่เคยดูถูกใครเลย 5555