ดราม่า KimOhNo!

ชาวญี่ปุ่น (หลายคน) ไม่ถูกใจสิ่งนี้
เมื่อใครสักคนจุดประเด็นดราม่าของผลิตภัณฑ์จาก KarJenner    ถึงคุณจะผ่านประสบการณ์เรื่องทำนองเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง  แต่มันก็ยังทำให้วงสนทนาแซ่บขึ้นราวว่ากำลังเม้าไปแกล้มยำไข่แดงเค็มไป   แล้วครั้งนี้มันเรื่องอะไรกันอีก ?     จัดว่าเผ็ดแน่นอนค่ะ
พวกเราต่างก็ทราบกันดีว่าKimแทบจะไม่ใส่ชุดหลวมๆ หรือ baggy เลย  นอกจากจะช่วยโพรโมทแบรนด์ของสามี   ชุดประจำตัวคือ everything รัดรูป  รัดมากจนแนบเห็นทุกอณู  แม้กระทั่ง shapewear (ชุดชั้นในจัดทรง) ก็ยังมองออก   เจ้าตัวเปิดเผยกับเรื่องนี้มาก  ยกให้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ดูสมบูรณ์แบบทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน    เรียกว่าไม่ยอมให้มีภาพพุงโผล่โดยเด็ดขาด
Kim กังวลกับเรื่องรูปร่างในช่วงท้อง-หลังคลอดมากจนไม่ยอมทิ้ง spanx    เธอสาภาพว่า ถ้าไม่ได้ใส่แล้วไม่ขอออกจากบ้าน   ยิ่งตอนที่น้ำหนักตัวขึ้นจะใส่สองตัวทับกันเพื่อจัดระเบียบเนื้อหนังให้เข้าที่เข้าทาง 
พอต้องสั่ง spanx  แบรนด์ของคนอื่นมาใส่มากๆเข้า  Kim จึงปิ๊งไอเดียว่า   ทำไมไม่ออกแบรนด์ตัวเองไปซะเลยล่ะ !  ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง    มีสาวๆจำนวนมากที่ใฝ่ฝันจะเป็นอย่างKim จนมีโคลนนิ่งเกลื่อน Instagram    และก็เห็นๆกันอยู่ว่าพอใส่ shapewear  พวกนี้แล้วจะช่วยให้รูปร่างยิ่งดูเว้าโค้งดึงดูดสายตามากแค่ไหน  
 
 นี่ถือถ้อยแถลงในการแนะนำ product ใหม่สู่ชาวโลกจากราชินี internet



"ในที่สุดชั้นก็ได้เปิดเผยเรื่อง projectที่ได้พัฒนามาตั้งแต่ปีก่อนกับพวกคุณ

เป็นเวลา 15 ปีมาแล้วที่ชั้นหลงไหลในสิ่งนี้ค่ะ

ชั้นขอนำเสนอ Kimono อันเป็น shapewear ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีจริงๆสำหรับผู้หญิง

ชั้นเคยต้องปรับ shapewear ให้กับเสื้อผ้าด้วยการตัดมันออก  และหลายครั้งก็ไม่สามารถหาสีที่เนียนไปกับสีผิวของตัวเองได้  เราจึงมองหาวิธีแก้ไขปัญหาพวกนี้ค่ะ

อย่างภาพที่ 3 

ชั้นริเริ่มไอเดียนี้ด้วยการปรับให้เข้ากับเดรสหรือกระโปรงแบบผ่าข้างแต่ก็ยีงต้องหาการชุดที่ช่วยมาsupportรูปร่าง          ขอแนะนำ Kimono Solutionwear  มีไซส์ ตั้งแต่ XXS - 4XL  ทั้งเก้าสี  ชั้นแทบรอให้พวกคุณสัมผัสเนื้อผ้าของ Kimonoไม่ไหวแล้วล่ะ"


ตามด้วยการขอ trademark ของชื่อ Kimono!


ทำให้หลายคนออกอาการปรี๊ด  ประมาณว่า   เอาจริงใช่มั้ยเธอ ??


เพราะเมื่อเราเอ่ยคำว่า Kimono  มันหาใช่สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาใหม่เพื่อเอาใจผู้หญิงที่อยากมี curves สวยๆ     แต่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณของประเทศญี่ปุ่น    และมันได้สร้างความภาคภูมิใจให้คนในชาติมาโดยตลอด  ในปัจจุบันชาวดินแดนอาทิตย์อุทัยก็ยังใส่Kimono ในหลายโอกาส   ตามที่หลายคนได้คาดหมายไว้  กระแสต่อต้าน shapewear และการขอ trademark ชื่อ Kimono จึงสะพัดไปทั่วโลกออนไลน์

ศาสตราจารย์ Sheila Cliffe (ชาวตะวันตกผู้ศึกษาศิลปะของ Kimono อย่างลึกซึ้ง) ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า

"ศิลปะของ Kimono คือความสง่างาม เลอค่าและนุมนวล ไม่ได้เป็นการเปิดเผยหรือรัดรึงส่วนสัด เป็นการป้องกันมิให้เห็นภายในด้วยการทบผ้าพันรอบตัวผู้สวมใส่ สมมุติว่าถ้าเกิดดิฉันออกแบบบราขึ้นมาแล้วก็ตั้งชื่อมันว่าส่าหรี คนบางกลุ่มจะต้องรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง มันแสดงถึงการขาดความนับถือ นี่คือสิ่งที่แสดงตัวตนของชาวญี่ปุ่นนะคะ  Kim Kardashian ไม่ได้เป็นเจ้าของคำๆนี้"






เรื่องนี้จริงจังมากจนนายกเทศมนตรีเมืองเกียวโตร่อนจดหมายขอให้ Kim ทบทวนเรื่องชื่อชุดชั้นใน Kimono 
นายกเทศมนตรีได้อธิบายถึงความสำคัญของKimono อย่างชัดเจนว่าเป็นศิลปะอันงดงามที่สร้างความภูมิใจให้กับคนในชาติ  แม้กระทั่งชาวต่างชาติก็ยังนิยมสวม Kimono เดินเที่ยวรอบเกียวโต  ซึ่งญี่ปุ่นยังได้ขอให้ UNESCO รับรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรม  และยังแสดงความเห็นอย่างสุภาพ Japanese style ไว้ดังนี้


"เราเชื่อว่าชื่อที่ใช้ไว้เรียก Kimono สามารถร่วมกันใช้ได้ในกลุ่มผู้คที่ชื่นชม Kimono ทุกคน รวมไปถึงในแง่วัฒนธรรมของมัน  ดังนั้นจึงไม่ควรมีใครถือสิทธิ์ผุูกขาดใช้ชื่อแต่เพียงผู้เดียว"
Sunao ซัง ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Kimono ที่ลงคลิปบน youtube พร้อม English subtitle ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่นว่าขอประท้วงเรื่องการตั้งชื่อ shapewear ว่า Kimono อย่างเต็มที่  เธอยกเหตุผลหลายอย่างมาอธิบายความรู้สึกที่ไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ และหนึ่งในนั้นคือความวิตกกังวลว่า  ด้วยความมีชื่อเสียงของ KimK ที่มีผู้ติดตามบน social media หลักร้อยล้านก็อาจจะทำให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจคลาดเคลื่อนว่า Kimono คือชุดชั้นใน  มิใช่ชุดที่สืบทอดในประเพณีด้ีงเดิมของญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

(เราว่าเรื่องนี่ make sense นะ  )


หากลอง searchคำว่า #KimOhNo บน twitter ก็จะพบการลุกฮือผ่านคีย์บอร์ดจากชาวญี่ปุ่นที่โกรธเคืองกับ shapewear  อื้อฉาว        หลายคนเรียกร้องให้ Kim เปลี่ยนชื่อสินค้าเพราะรับไม่ได้ที่ต้องเห็นอาภรณ์ที่มีคุณค้่ทางจิตใจถูกนำไปเรียกเป็นชุดชั้นใน




และนี่คือคำตอบของ Kim K ค่ะ ...

"ชั้นมีความเข้าใจและให้ความเคารพในเรื่องความสำคัญของ Kimono ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น และไม่ได้ตั้งใจที่จะออกแบบและปล่อยชุดที่ดูคล้ายคลึงหรือดูหมิ่นเสื้อผ้าอาภรณ์แบบดั้งเดิมแต่อย่างใด ที่ชั้นตัดสินใจตั้งชื่อบริษัทว่า Kimono นั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับคำที่มาจากรากฐานความเป็นญี่ปุ่น แต่เป็นเรื่องความสวยงามและรายละเอียดที่ตัวเนื้อผ้า ส่วนการขอ trademark นั้นก็ทำไปเพื่อจะได้รับคำอนุญาตในการใช้คำนี้สำหรับ shapewear ของชั้นและไลน์สินค้าที่เกี่ยวข้องกัน แต่มิได้เป็นการกีดกันหรือห้ามมิให้ผู้ใดตัดเย็บ Kimono หรือใช้คำๆนี้ในความหมายของชุดในประเพณีเก่าแก่ solutionwear ของชั้นถูกสร้างขึ้นสำหรับทุกคนได้มีส่วนร่วมและมีจุดเด่นเรื่องสนับสนุนความหลากหลายในสังคม และชั้นมีความภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง"



เราลองตีความนะคะ  Kim  พยายามจะแย้งว่า ไม่ได้ดูหมิ่นวัฒนธรรมญี่ปุน หรือทำชุดเลียนแบบ Kimono    แต่เลือกชื่อนี้เพราะได้แรงบันดาลใจจากความงามและรายละเอียดของKimono   ( ????)    และดูเหมือนว่า  แม้จะมีการประท้วงและขอร้องอย่างเป็นทางการจากชาวญี่ปุ่น      เจ้าตัวไม่น่าจะถอยแล้วค่ะ  เพราะกำลังส่งสินค้าสู่ตลาดแล้ว   และเราสังหรณ์ว่ามันน่าจะ sold out ด้วยนะ



มีคนตั้งข้อสังเกตกับเราว่า   หรือนี่จะเป็นความตั้งใจจะสร้างยอดขายจากกระแสต่อต้าน  ?  เพราะไม่ว่าใครก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่า หากเลือกชื่อนี้จะต้องสร้างความไม่พอใจให้กับคนญี่ปุ่นแน่นอน  (แม้กระทั่งคนชาติอื่นก็ตาม)   เรื่อง"การฉกฉวยทางวัฒนธรรม"  ไม่ใช่คำกล่าวหาแปลกใหม่สำหรับ Kim K ค่ะ  ที่ผ่านมามีดราม่าคล้ายๆกันมาก่อนแล้ว   และความเดจาวูนี้เองก็ทำให้เกิดความคลางแคลงใจขึ้นมาว่า เธอจงใจจะปั้นยอดขายจากข่าวฉาว


Upfdate ล่าสุด  Kim ยอมถอยแล้วจ้าาาา


บอกไว้ก่อนว่า เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นลุกฮือประท้วงคนดังต่างชาติแบบนี้มาก่อน และมันทำให้คลางแคลงใจจริงๆว่าราชินี Internet จะไม่ดึงดันขายชุดชั้นใน shapewear ด้วยชื่อ Kimono จริงๆหรือ นี่ไม่รวมถึงชาวเน็ทชาติอื่นๆที่เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่หวงแหนศิลปะที่มีค่าประจำชาติที่กระโดดร่วมโจมตีอย่างเผ็ดร้อน


ในที่สุด   เราเชื่อว่า  KimคงปรึกษาทีมกฏหมายและทีมPRมาจนเห็นวี่แววของชื่อเสียงที่เสียหายไป   เธอจึงประกาศเปลี่ยนชื่อแบรนด์แล้วค่ะ!




"การที่ชั้นได้มาเป็นนักธุรกิจที่เป็นนายของตัวเองนั้นถือเป็นรางวัลอันล้ำค่าในชีวิต มันเป็นหนทางที่ช่วยให้ชั้นได้เข้าถึงแฟนๆและผู้คนและได้โดยตรง ชั้นเฝ้ารับฟัง เรียนรู้และเติบโต ชั้นรู้สึกซาบซึ้งต่อความปรารถนาและมุมมองที่หลากหลายที่คนอื่นได้ชี้ให้เห็น ตอนที่ได้เปิดเผยชื่อของshapewear นั้น ชั้นมีแต่เจตนาที่ดีค่ะ แบรนด์และสินค้าของชั้นสร้างขึ้นเพื่อให้เข้าถึงทุกคนและมีจุดโดดเด่นในการสนับสนุนความหลากหลาย หลังจากที่ใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี ชั้นจะเปิดตัว solutionwear ในชื่อใหม่ค่ะ ชั้นจะกลับมาใหม่เร็วๆนี้ ขอบคุณที่เข้าใจและให้การสนับสนุนกันนะคะ"





หลายคนคงจะโล่งใจว่าเรื่องจบได้ด้วยดี  แต่ความปักใจว่านี่คือ publicity stunt  อันเป็นการตลาดแบบ Kardashian ก็ยังคงอยู่ เพราะนี่ดูไม่เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ แต่plan มาแบบมืออาชีพ
The End

Discussion (12)

น่าจะวางแผนไว้แล้ว ที่แน่ๆได้พื้นที่สื่อเต็มๆ เลย เก่งงงง ปั่นให้เป็นกระแส แล้วเปลี่ยน จบ • ดูว่ายอม --> PR แถลงลงสวยๆ เชิดชูวัฒนธรรมอวยขายได้ต่อ • ดูไม่ดื้อรั้น --> เป็นแบรนด์ที่รับฟังเสียงสังคม • คนไม่รู้ก็รู้ --> ได้พื้นที่ข่าวเพิ่ม ไม่ต้องเสียค่าโปรโมท
นึกถึงเรา คงลุกฮือถ้าใครมาทำแบรนด์ชุดชั้นในชื่อสไบอะไรอย่างงี้เนอะ
ตอนเห็นว่าชื่อชุด kimono เราก็งงไปแปดตลบเหมือนกันค่ะ
เอิ่ม น่าเห็นใจนะ คนญี่ปุ่นเค้าให้ความสำคัญกับกิโมโนมากๆ มีพิธีสำคัญที่ใส่กิโมโนโดยเฉพาะ เช่น วันแต่งงาน วันบรรลุนิติภาวะ คงต้องทบทวนเปลี่ยนชื่อน่าจะเหมาะสมกว่าค่ะ