Part 1 ว่าด้วยเรื่อง "อยู่ก่อนแต่ง" แชร์ประสบการณ์ตรงและความรู้สึก

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน 

วันนี้เราอยากมาเขียนบทความ เราตั้งใจจะพยามหาเวลาว่าง

เพื่อจะมาแชร์ อัพเดทข้อมูล การใช้ชีวิต ชีวิตที่ ตปท และ การเรียนต่อ ตปท

วันนี้นะคะ ขอมาเริ่ม ที่ หัวข้อแรกกันเลย ชีวิตการอยู่ก่อนแต่งงาน

ขออภัยไว้ล่วงหน้า หากภาษาอ่านยาก หรือ ไม่สละสวย ดั่งใครเขา เราไม่ค่อยถนัด
การเขียนเท่าไร แต่มีความตั้งใจอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆอ่านค่ะ


------------------------------------------------------------------------------

ทางเรา เป็นชะนี ที่อยู่ เมืองนอกเมืองนา มาตั้งแต่อายุ 18 แต่ความเป็นสาวไทย
ใจงามนั้นก็ยังอยู่ในตัวตนเองเสมอ

เราเป็นเด็กที่เติบโตมาในครอบครัว ของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว พื้นฐานครอบครัว
ไม่ได้ดี ไปสะหมด มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นให้สู้กันตลอดเวลา

แต่เพราะความได้เชื้อ เข้มแข็งและแข็งแรงและความเด็ดเดี่ยวจากฝั่งคุณแม่

มาเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่า เราได้รับการตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก

เราโตมาในสังคม ที่ต้องเติบโตเองและเข้มแข็งเอง

ตอนย้ายมาอยู่เมืองนอกตอนนั้น ถือว่าอายุ 18 คิดในใจว่าตัวเองโตมากพอแล้วแหละ

แต่ไหนได้ล่ะ เธอ มาถึงวันแรก ซักผ้า ยังซักเองไม่เป็นเลยนะ ต้องโทรต่อสายหาแม่

ช่องไหนใส่ผงซักฟอกอันไหนคือน้ำยาปรับผ้านุ่ม
ต้องแอบโทษคุณแม่ที่หวงเครื่องซักผ้าไม่ยอมให้ลูกๆแตะ เพราะนางกลัวทำพัง ฮ่าๆ

ว่ากันด้วยเรื่องของ การมีแฟน มีความรัก เราเกิดมา เรามีรักหลายรูปแบบมาก

แต่วันนี้ขอมาเล่าถึงความรักปัจจุบัน นะคะ ความรักกับสามี

เรากับสามี ตัดสินใจย้ายไปอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่คบกันได้แค่ 6 เดือนแรกเท่านั้นเอง

ปัจจัยหลักๆ ขอบอกแบบไม่แอ๊บแอ เลยนะคะ นั่นก็คือ เราทั้งคู่ มาจาก คนประเทศ

และ การอยู่ที่เมืองนอกนั้น ค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้านมันค่อนข้างจะสูง
อันนี้คือทางเราคิดนะคะ ว่า ยังน้อย ต่างคนต่าง ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
จ่ายคนละ 50% ยังดีกว่า เรา ณ ตอนนั้น จ่ายเอง 100% แน่นอน
เพราะตอนนั้นอิฉันก็ทำงาน เรียน บวก บ้านที่อยู่ก็เล็กเหลือเกิน

เราสองคนเลยเกิดไอเดีย ป่ะ เราไปเช่าอพาทเม้นอยู่กันเองดีกว่า

ตอนนั้นคือลืมเรื่องความเป็น หญิงไทยใจงามไปก่อน เพราะ ยังไม่กล้าบอกแม่

แต่คือ เราคิดได้ว่ายังไง คุณนายแม่ก็ต้องรู้แหละ แต่นางรอวันที่ลูกสาวคนนี้จะเปิดปาก

ณ ตอนนั้นคือเราอายุ แค่ 21 เอง ไม่แนะนำให้ น้องๆหรือเพื่อนๆทำตามนะคะ

เพราะ มันเป็นความรู้สึกส่วนบุคคลจริงๆ

เราตัดสินใจย้ายไปอยู่ด้วยกัน โดยไม่ได้คิดถึงวันที่จะแต่งงาน หรือวันที่เราต้องเลิกกัน ณ ตอนนั้น ทางเราคิดแต่เรื่อง ความประหยัดและจุดหมายปลายทางคือ
ก็รักกันอะ บางวันเราก็ไปพักบ้านแฟนอยู่แล้ว แล้วทำไมถึง ไม่ย้ายไปด้วยกันเลยล่ะ
คือ คิดสั้น นั่นเอง
การที่คนสองคน เติบโตมาคนละครอบครัว มาเป็นเพื่อนกันเป็นคนรักกันก็ต้องปรับ
และเปลี่ยนอะไรมากพออยู่แล้ว
แต่ทางเรา สองคนนั้น เติบโตมาคนละครอบครัว คนละเชื้อชาติ และ คนละ ศาสนา
มัน ต้องปรับและเปลี่ยนมากกว่าเดิมเป็นสามสิบเท่า เพราะ อย่างแรก
เขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรา
สองเขามีภาษาเป็นของเขาเอง
สาม เราใช้ภาษาที่สามสื่อสารกัน ซึ่งเราทั้งคู่ก็ยังเรียนมหาลัยและทำงาน

เราย้ายมาอยู่ด้วยกัน ตอนปี 2015 น่าจะใช่

ชีวิตคือ ยังอยู่ในช่วงโปรโมชั่น ถ้าถามว่าตอนนั้น รู้สึกยังไง คือรู้สึกสบายใจมากๆ
และมีความสุขมากเพราะตื่นมาเจอกันทุกวัน กินข้าวเช้าด้วยกัน
กลับจากเรียน จากทำงานก็เจอกัน มีแต่เรื่องดีๆ

การมาอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานสำหรับเรามันทำให้เราได้ ซึมซับ นิสัยใจคอกันและกันมากขึ้น เราจากเป็นคนที่ พูดจาไม่รักษาน้ำใจเขา ตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง
เพราะ ถ้าทะเลาะกันก็ต้องนอนเตียงเดียวกัน
เราเลยตั้งกฎกันว่าเราจะไม่ทะเลาะกันเกิน หนึ่งวัน เพราะมันทำให้เราทั้งคู่นั้น อึดอัด

สำหรับเราการอยู่ก่อนแต่งคือสิ่งที่ดี มันอาจจะผิดต่อศิลธรรมในบ้านเรา ในวัฒนธรรมเรา แต่ สำหรับเรามันคือการที่ได้เรียนรู้ ได้เห็นว่าวันๆนึง คนที่จะเป็นสามีเรานั้น เขาทำอะไร เขาคิดอะไร อะไรที่เข้ากันไม่ได้ก็ต้องปรับจูนให้เข้ากันได้
สิ่งที่เขาชอบในตัวเรา และ ไม่ชอบในตัวเรา ทำให้ สามีเรานั้นได้เห็นเราในทุกมุม

คนที่จะมาแต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันมัน มีองค์ประกอบหลายอย่างมากเลยนะ
ไม่ใช่แค่ โอเควันนี้เรารักกันรับไปกินข้าวดูหนังเสร็จ แล้วส่งบ้าน
เพราะตรงนั้นมันไม่มากพอที่จะพิสูจน์ว่าคนสองคน นั้นสามารถจะอยู่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานกันได้ไหมการใช้ชีวิตอยู่ก่อนแต่งก็ไม่ได้พิสูจน์ว่า

วันข้างหน้าเราจะไม่เลิกกัน แต่มันจะเป็นตัวช่วย สอน ให้เราทั้งสอง หนักแน่น
และ เข้าใจกันมากขึ้น ทะเลาะกัน ตอนนี้ก็เคลียกัน ทำให้เราสองคน
พูดขอโทษ และ ขอบคุณ กันมากกว่าเดิม

อยู่ก่อนแต่ง ยุคงานบ้านที่ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงทำ : เราเป็นผู้หญิงเรา ไม่ถือว่า สมัยใหม่ เราต้องทำงานภายนอกยังเดียว
แต่งานภายใน เรายังต้องยึด ติด เพราะ สามีเรา เขาเติบโตมาในบ้านที่อบอุ่น
คุณแม่ ทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านได้เป็นยังดี
เรา เกิดมาเป็นผู้หญิงในยุคนี้ ต้องเก่งทั้งเรื่องในบ้านและนอกบ้าน สามีเรา
ซึมซับหลายอย่าง มาจากทางครอบครัวเขามาก
เพราะงานบ้าน เขาถือว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
เราเลยแบ่งงานกัน ซึ่งเรา ดีใจมากนะ ที่เขาไม่รู้สึกว่า การกวาดบ้าน
ทำได้เฉพาะผู้หญิง ซักผ้ารีดผ้าเขาก็ทำได้ เขาทำได้ดีด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไม่เป็นการรบกวนจิตใจกันและกันเลยค่ะ เราสองคนทำทุกอย่าง ช่วยเหลือกัน
เพราะเราทั้งคู่ มาที่ออสเตเลีย ไม่ใช่บ้านเกิดตัวเอง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ
เรารักกันมากพอที่จะกล้าเปิดอกคุยกัน กล้าบอกกันและกัน มากกว่าที่จะเก็บไว้

อยู่ก่อนแต่ง มันก็ต้องมีเรื่องไม่ดีบ้างแหละเนาะ เพราะคนคนนึงอยู่ด้วยกัน 24 ชม เลยนะ ขนาด พ่อแม่ ตอนโต เรายังอยู่กับท่านไม่ถึง 24 ชม เลยอ่ะ
สามีเราเป็นคน รักป่า รักต้นไม้ รักธรรมชาติ รักสัตว์ และ รักการอ่านหนังสือ
ส่วนทางเรา รักการเดินห้าง รักชอปปิ้ง รักความสะดวกสบาย 555555 อันนั้น
คือ ฉันเวอร์ชั่นเก่า นะจ๊ะ
การที่เราสองคนมีความชอบไม่ตรงกัน มันเป็นปัญหา ระดับชาติจริงๆนะ
เพราะ หนึ่ง เราไม่ชอบให้เขาปลูกต้นไม้ในห้องนอน เราก็ปรับกันโดย อนุญาติให้เขา
ปลูกในห้องนั่งเล่นได้โดยที่เขาต้องเป็นคนลดน้ำและดูแล เอง ซึ่งเขาก็ทำตรงนี้ได้ดี
สอง เขาไม่ชอบเดินห้าง ไม่ชอบแต่งตัว ซึ่งทางเรานั้นรับไม่ได้เลยจ่ะ
เราก็ปรับ โดย เราชอปปิ้ง อาทิตย์ละวัน แทนที่จะสามวัน
แต่ การชอปปิ้งของเรานั้นก็ ต้องพาเขาไปด้วย และ เลือกซื้อเสื้อผ้าให้เหมาะกับเขา
ให้เขาสนุกในการ ไปลองเสื้อผ้าโซนคุณผู้ชาย ซึ่ง จากที่เขาไม่ค่อยเปลี่ยนแฟชั่นในตู้เสื้อผ้า เขาก็เริ่มที่อยากจะมีอะไรใหม่ๆบ้าง แต่ก็ยังเฉิ่มอยู่ค่ะ พ่อคุณ
เวลาไปชอปปิ้ง ก็พากันไปร้านหนังสือ หลังจากที่เราไม่ชอบอ่านหนังสือ ทางเราก็
ไปหยิบหนังสือ ที่เป็นบทความสั้นๆมาอ่าน ทำให้ตอนนี้การอ่านหนังสือในร้านกาแฟหรือบนรถไฟ
ถือเป็นเรื่องที่เราติดใจไปเลย
นางเปลี่ยนให้เราเป็นคน รักการท่องเที่ยวมากขึ้น ตั้งแต่เดทแรกเราสองคนไปเดินป่า
คือเราจะร้องไห้ จ้า แต่ตอนนี้ การเดินป่าเป็นสิ่งที่เราหลงรักและค้นหาที่จะไปเดินในทุกๆเดือน เราสองคนกลายเป็นคนรักการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย ไม่ใช่แค่เที่ยวธรรมชาติ เราก็เที่ยวในเมืองดู วัฒนธรรม ต่างบ้านต่างเมืองบ้าง
ซึ่ง การอยู่ก่อนแต่ง มันทำให้เรา เริ่มจะปรับและเปลี่ยนกันหลายอย่างมากขึ้น

วันนี้ขอจบไปแค่ ตอนนี้ก่อนไว้รอบหน้า ถ้าเพื่อนๆชอบ คอมเม้นบอกนะคะ
เราจะได้มาเขียน แชร์ประสบการณ์ตรง ให้เพื่อนๆได้อ่านกันอีก



Discussion (24)

อยู่ก่อนแต่งมันทำให้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากแฟน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับตัวเข้าหากัน ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันมาก่อน แล้วแต่งงานเลยก็มีโอกาสสูงที่จะไปด้วยกันไม่รอด เพราะเราจะคิดว่าอีกฝั่งเป็นแบบที่เราคิด ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ชีวิตของเรา เราควรได้เลือกค่ะ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมาคอยบอก เพราะคนที่อยู่เป็นเรา
ทางเราเห็นด้วยมากๆค่ะเพราะทางเรารู้สึกว่าขนาด ตอน ยังไม่อยู่ด้วยกัน ยังคิดอีกแบบ ตอนอยู่ด้วยกัน คิด ไกล กว่าเดิมมากขึ้น ยิ่งแต่งงานกัน ยิ่งคิดวางแผนใหญ่พร้อมๆกันอีกไกลเลยค่ะ
ไม่ได้เข้ามาบ้านจีบันนานมากกกก  อ่านแล้วก็ชอบทัศนคตินะ จริงๆเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่คนสองคน และสองครอบครัว บ้านเราจริงๆยังยึดเรื่องขนบธรรมเนียมหนักแน่นมาก(เราโตมาแบบจีนโบราณ) แต่เรายอมรับว่าโลกเปลี่ยนไปไกลโพ้นมากแล้ววววว ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป คนเรามีโอกาสในการใช้ชีวิตมากขึ้น และยิ่งทำให้พฤติกรรมของคนมันมี"เนื้อแท้" "ความเอาใจใส่" ที่ไม่เหมือนยุคก่อน ที่ทำอะไรเกรงใจไว้หน้าตระกูลอีกฝ่าย ทุกวันนี้เพื่อนเราหลายคนมากที่แต่งงานแล้วจบด้วยการหย่ากัน เพราะทุกคนอีโก้แน่นกันหมด ชั้นก็ทำแบบนี้มาตั้งแต่เกิดอะ เปลี่ยนไม่ได้ สุดท้ายคือสุดมือจะยื้อไว้ ลำบากคือลูกอีก เวรกรรมยาวไป ทุกวันนี้เลยไม่เชื่อว่าการแต่งงานแล้วค่อยศึกษานิสัยใจคอการอยู่ร่วมกัน เป็น best solution เลย คือทำไงก็ได้ที่ได้รู้นิสัยกัน และส่วนตัวเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ความรักเป็นแค่สารเคมี แต่ความผูกพันมันคือชีวิต เรามองว่าสำคัญกว่า ช่วงปีแรก-2ปีจะเหมือนไบโพล่า รักกันมากกก ทะเลาะกันเยอะมากกก เหนื่อยใจบ่อยที่สุด เพราะคนเรามันไม่เคยต้องมาอยู่ในที่เดียวกัน 24/7 เห็นด้านดีด้านเลวกันให้ครบหมดจด (เราเคยเดินลงมานอนที่โซฟา เพราะน้อยใจแฟนที่เราแคะหูให้แล้วเรายังต้องโดนดุ แฟนลงมาตามแล้วสอนต่อว่าอย่าทำแบบนี้อีก จะทะเลาะกันหนักแค่ไหนอย่าทำแบบนี้ เราก็พยายามปรับตัวนะ เพราะเป็นคนขี้น้อยใจมาก อยากจะหอบของกลับบ้านเป็นสิบรอบแล้ว เพราะพ่อแม่เลี้ยงเราสองคนตามใจทั้งคู่) เกือบ 90% ในตัวตนอีกฝ่ายที่เรามองไม่เห็นเลยก่อนที่จะอยู่ด้วยกัน คือไม่รู้มาก่อน และไม่แน่ใจด้วยว่าถ้ารู้ก่อนจะยอมเป็นแฟนแต่แรกมั๊ย 555 ก็ overall ยอมรับว่าสมัยนี้การอยู่ก่อนแต่งสำหรับบางคู่มันช่วยคัดกรองได้เยอะมากว่าความสัมพันธ์จะรอดหรือล่ม และชีวิตคนเรามันสั้น ควรเรียนรู้ที่จะอยู่แบบสุขบ้างทุกข์บ้าง และมีที่ปรึกษาชีวิตที่ดีอยู่ข้างๆ ตอบยาวดชียว เอาว่าติดตามนะคะ ชอบอ่านค่ะ ^^
เข้าใจเลยค่ะ เราก็ได้ เปลี่ยนอะไรหลายอย่างมากที่เห้นได้ชัดเลยคือมีเหตุผลการใช้ชีวิตมากขึ้น ขอบคุณมากๆนะคะ ที่ติดตาม วันนี้อย่าลืมมาอ่าน Part 2 นะคะ
รออ่านน๊าาา น่ารักอ่าา
รออ่านตอนต่อไปค่าาา ?
ส่วนตัวก็มองว่าการอยู่ก่อนแต่ง ก็ดีที่เราได้รู้จักนิสัยเค้าจริงๆ เพราะปกติเป็นแฟนกัน เจอหน้ากินข้าวก็ต่างคนต่างแยกกันกลับบ้าน ขนาดแค่ไปเที่ยวเรายังได้รู้นิสัยเค้าเพิ่มขึ้นเลย เพราะมันก็มีอีกหลายๆอย่างที่ต้องมาเจอต้องมาอยู่ด้วยกันว่าจะเข้ากันได้มั้ย เช่นถ้าแฟนมีนิสัยชอบนอนเปิดไฟแล้วเราเป็นคนชอบนอนปิดไฟมืดๆเลย ถ้าไม่รู้กันมาก่อนอยู่ดีๆแต่งเลยมันก็ปรับเข้าหากันยาก ชอบอ่านกระทู้แบบนี้มากเลยค่ะ รออ่านต่ออีกนะคะ