แชร์ประสบการณ์ตั้งครรภ์และคลอดลูกที่ญี่ปุ่น

?สวัสดีวันแม่นะคะ วันนี้ตั้งกระทู้ตรงกับวันแม่ที่ 12/8/2562 พอดี ^_^

เลยขอเกาะกระแสวันแม่ตีแผ่แชร์ประสบการณ์

การตั้งครรภ์และคลอดลูกในประเทศญี่ปุ่น??

รับรองว่าครอบคลุมทุกสิ่งที่คนท้องควรทราบ

สำหรับใครที่ไม่ท้องอย่าเพิ่งปิดกระทู้หนีนะคะ เพราะจินนี่จะแชร์สวัสดิการ และชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ตั้งครรภ์ที่อาศัยในญี่ปุ่นให้ด้วยค่า

สัญญาณบ่งบอกว่า “กำลังตั้งครรภ์”

อาการคนท้องจะไม่เหมือนกันทุกคนนะคะ อย่างกรณีของจินนี่ไม่ค่อยแพ้ท้อง สัญญาณการตั้งครรภ์ของจินนี่ มีดังนี้ค่ะ

  1. ประจำเดือนขาด ปกติแล้วจะมีประจำเดือนมาปกติและมาใกล้เคียงกันทุกเดือน แต่ประจำเดือนเกิดขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ ซึ่งค่อนข้างผิดปกติ

  2. การเปลี่ยนแปลงของเต้านม ปกติเวลาใกล้มีประจำเดือนจะมีอาการคัดตึงเต้านมเล็กน้อย กรณีตั้งครรภ์นั้นเต้านมจะขยายใหญ่มากขึ้น คัดตึงมากและหัวนมมีสีคล้ำขึ้น

  3. จมูกไว เหม็นง่าย พาลอาเจียน กรณีนี้เกิดขึ้นตอนที่ไปทานเนื้อย่างค่ะ ทานไม่ได้ เหม็นเนื้อ อาเจียนออกมาเลย

จากสัญญาณหลายอย่าง จินนี่ซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจเองก่อนค่ะ ผลออกมาขึ้น 2 ขีด

บอกว่าเรากำลังตั้งครรภ์!!


คลอดลูกในประเทศญี่ปุ่น “ต้องแจ้งตั้งครรภ์”

พอย้ายมาอยู่ประเทศญี่ปุ่นได้ 3 เดือน ก็พบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ขณะนั้นจินนี่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น ส่วนสามีทำงานเสียภาษี และจ่ายค่าประกันครอบคลุมของจินนี่ด้วย ฉะนั้นเรามีสิทธิได้รับสวัสดิการจากการคลอดลูกที่ญี่ปุ่นเต็มๆ เท่ากับคนญี่ปุ่นเลยค่ะ เพียงแต่ลูกจะได้เฉพาะสัญชาติไทยไม่ได้สัญชาติญีปุ่นด้วย เพราะพ่อแม่เป็นคนไทยทั้งคู่

__________

เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆของการตั้งครรภ์ในญี่ปุ่น สิ่งที่ต้องทำคือ ตรวจพบแพทย์เพื่อเอาผลตรวจยืนยันว่ากำลังตั้งครรภ์ไปแจ้งที่ Health Center ประจำอำเภอ (ใครที่ภาษาญี่ปุ่นยังไม่แข็งแรงแนะนำให้พาเพื่อนคนญี่ปุ่นไปด้วยนะคะ) กรอกข้อมูลเอกสารต่างๆกับเจ้าหน้าที่ให้ครบถ้วน จากนั้นทางศูนย์สุขภาพจะให้สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก Mother and Child Health Handbook 1 เล่ม สมุดฉีกคูปองสำหรับตรวจครรภ์ฟรี และพวงกุญแจสัญลักษณ์ว่าเรากำลังตั้งครรภ์สำหรับติดกระเป๋าให้คนทั่วไปรับทราบค่ะ

ขั้นตอน “การฝากครรภ์”

ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด จินนี่ตัดสินใจเลือก Keiai Hospital ซึ่งเป็น ร.พ. ญี่ปุ่นเปิดเฉพาะทางสำหรับแม่และเด็กอยู่ที่ Fujimi, Saitama เดินทางค่อนข้างสะดวกไม่ไกลจากบ้าน นั่งรถไฟประมาณ 10 นาที และคุณหมอพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ

__________
✅การฝากครรภ์ครั้งแรก จะซักประวัติ ชั่งน้ำหนักส่วนสูง ตรวจปัสสาวะเพื่อดูน้ำตาลและโปรตีน วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดดูระดับความเข้มของเลือด กรุ๊ปเลือด พร้อมตรวจหาโรคอื่นๆ และตรวจภายใน

การตรวจอัลตราซาวด์

จินนี่เอาใช้ผลตรวจอัลตราซาวด์ ไปใช้แจ้งสิทธิที่อำเภอ หลังจากอายุครรภ์ประมาณ 26 สัปดาห์ คุณหมอก็เริ่มตรวจอัลตราซาวด์อีกครั้ง เพื่อระบุเพศของลูก และตรวจพบความผิดปกติของทารกในครรภ์ ค่าตรวจอัลตร้าซาวด์แบบธรรมดาฟรีค่ะ แต่ถ้าอยากอัลตราซาวด์แบบ 4 มิติ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ประมาณ 8,000 เยนค่ะ ​​

การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์

จินนี่พักผ่อนมากๆ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ทานให้บ่อยขึ้นโดยเพิ่มมื้ออาหารว่างนอกเหนือจากการรับประทานอาหารมื้อหลัก ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ไม่แบกของหนัก พออายุครรภ์มากขึ้น เท้าจะบวม เลือกรองเท้าที่ใส่สบายหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ตอนท้องได้สัก 3 เดือน จินนี่จะทาน้ำมันป้องกันท้องแตกลาย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวระหว่างตั้งครรภ์ ตอนจินนี่อยู่ที่ญี่ปุ่นใช้ Weleda Stretch Mark Massage Oil น้ำมันออแกนิคจากเยอรมัน ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยแตกลายบริเวณหน้าท้อง ทาทั้งในตอนเช้าและเย็น พอท้องโตมากก็ทาบ่อยขึ้น ซึ่งเห็นผลจริงๆค่ะ ท้องไม่ลายเลย​​

เตรียมตัวคลอดลูก

ทางโรงพยาบาล Keiai Hospital จะนัดอบรมก่อนคลอดค่ะ เพื่อแนะนำของใช้จำเป็นที่ต้องเตรียมในวันคลอด ของใช้ที่จำเป็นคือ กางเกงใน (แนะนำให้เลือกแบบแปะ ที่คุณหมอสามารถเปิดดูแผลฝีเย็บที่ช่องคลอดเราได้ง่าย) เสื้อชั้นในให้นมลูก ผ้าอนามันแบบหนา แผ่นซับน้ำนม ครีมทาหัวนมแตก น้ำมันป้องกันท้องลาย น้ำมันกระตุ้นน้ำนม เครื่องปั๊มนม (ถ้ามี) 

ครั้งแรกในชีวิตกับ “การคลอดลูก” ที่ญี่ปุ่น

ที่ญี่ปุ่นการฝากครรภ์กับโรงพยาบาลนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะได้คลอดที่โรงพยาบาลนะคะ จะต้องจองคิวก่อน ปกติแล้วเค้าให้จองล่วงหน้ากัน 3 เดือนค่ะ

__________

การคลอดที่ญี่ปุ่นนั้นจะขึ้นกับดุลยพินิจของหมอเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่จะคลอดธรรมชาติ และจินนี่แจ้งหมอว่า ขอฉีดยาชาแบบบล็อคหลังด้วย

เมื่อช่วงอายุครรภ์ 39 สัปดาห์ จินนี่ยังไม่มีอาการเจ็บท้อง หมอจึงทำชักนำการคลอดเพราะหมอประจำโรงพยาบาลที่ฉีดยาชาจะหยุดเสาร์อาทิตย์ T^T

คลอดวันที่หมอกำหนดไว้ ไม่มีฤกษ์ยามอะไร

__________

ก่อนกำหนดวันคลอด 1 วัน หมอใส่บอลลูนเพื่อถ่างขยายปากมดลูกและให้นอนพักที่โรงพยาบาล เช้าวันรุ่งขึ้นเปลี่ยนชุดและกางเกงในที่โรงพยาบาลเตรียมให้ เดินไปห้องคลอด ไปแบบหน้าสดห้ามแต่งหน้า

เริ่มเตรียมคลอด พยาบาลจะจัดยาให้ถ่ายให้เสร็จ ห้ามทานอะไร ใส่น้ำเกลือ

นอนรอในห้องคลอดจนมดลูกบีบรัด (เจ็บมากกกก) หมอถึงจะมาฉีดยาชาบล็อคหลัง การคลอดลูกทีญี่ปุ่นห้ามเบ่งเสียงร้อง ต้องไม่ส่งเสียงดังนะคะ คลอดเสร็จนอนพักในห้องคลอดประมาณ 1 ชั่วโมง พยาบาลก็จะมาปลุกให้เราเดินไปห้องพักฟื้นเอง

ฟินสุดๆที่ Keiai Hospital

หลังจากคลอดเสร็จ ใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาล 5 วันค่ะ Keiai Hospital เป็นโรงพยาบาลที่ดีมาก เค้าจะมีกิจกรรมและกำหนดเวลาให้ทุกคนปฏิบัติตาม เวลาทานข้าวจะมีเสียงตามสายเรียก เราก็เดินไปที่ห้องอาหาร เค้าจะให้เชฟทำอาหารตามเมนูประจำวันบำรุงหลังคลอดเสิร์ฟให้ทุกมื้อ มีคนเล่นเปียโนให้ฟัง ฟินมากก ช่วงแรกถ้าใครยังเจ็บฝีเย็บที่ช่องคลอด เค้าจะมีหมอนรองก้นให้ด้วย และคุณแม่สามารถใช้สิทธิเชิญญาติมาทานอาหารได้ 3 มื้อค่ะ

ทางโรงพยาบาลจะอนุญาตให้คนภายนอกมาเยี่ยมได้ไม่เกิน 4 คน ต้องลงชื่อแลกบัตรทุกครั้ง หากต้องการพักที่โรงยาบาลต้องทำเรื่องขอพักวันต่อวัน ทางโรงพยาบาลจะมาจัดเตียง แจกชุดนอน และของใช้

__________

โรงพยาบาลจะเตรียมของขวัญและของใช้สำหรับเด็กทารกให้ด้วย เราไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เพราะทางโรงพยาบาลจะอบรมคุณแม่มือใหม่ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ของเหล่านั้น นอกจากนี้เค้ามีคอร์สสปานวดหน้า นวดฝ่าเท้า และทำผมสวยๆ ให้คุณแม่วันที่ออกจากโรงพยาบาลด้วยค่ะ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการตั้งครรภ์และคลอดลูกที่ญี่ปุ่น

เวลาไปโรงพยาบาลทุกครั้งต้องยื่นบัตรประกันสังคมและคูปอง ซึ่งค่อนข้างครอบคลุม
ไม่เสียค่าใช้จ่าย และค่าคลอดที่ญี่ปุ่นสามารถเบิกจากรัฐได้ 420,000 เยน และเบิกจากประกันสังคมได้ประมาณ 80,000 เยน ค่ะ

__________

แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการคลอดของจินนี่ประมาณ 800,000 เยนค่ะ (ออกส่วนต่างเอง 300,000 เยน) จริงๆค่าคลอดปกติและค่าห้องพักส่วนตัวก็ประมาณ 585,500 เยน ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกินมา คือ ค่าฉีดยาชาบล็อคหลัง 2 เข็ม เข็มละ 16,000 เยน ค่าทำบอลลูน ค่าห้องวันก่อนคลอด และค่าทำเอกสารขอลายเซ็นหมอเพิ่มอีก 1 ชุดค่ะ ซึ่งถ้าเรากลับมาคลอดที่ทางโรงพยาบาลอีกเค้าจะให้สิทธิลดราคา 20,000 เยน นอกจากนี้ในทุกปีทางโรงพยาบาลก็จะส่งของขวัญวันเกิดมาให้ลูกด้วยค่า ^_^

สุดท้ายหลังคลอดออกจากโรงพยาบาล ต้องไปแจ้งเกิดลูกที่อำเภอ ติดต่อทำเอกสารที่สถานทูตไทย ทางอำเภอที่ญี่ปุ่นจะส่งคนนัดพบที่บ้าน เพื่อสอบถามสุขภาพจิตและแนะนำการเลี้ยงดูบุตร พร้อมเก็บข้อมูลน้ำหนัก และส่วนสูงของเด็กค่ะ โดยทาง ร.พ. ก็จะมีนัดตรวจแม่และเด็กหลังคลอด 1 เดือนเช่นกัน

__________

จบแล้วค่ะประสบการณ์คลอดลูกที่ญี่ปุ่นของจินนี่ ซึ่งผ่านมาร่วม 4 ปีแล้ว ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยนะคะ ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมสามารถเขียนในคอมเมนต์ด้านล่างเลยค่ะ

__________

ใครอยากติดตามจินนี่ สามารถเข้าไปได้ที่ FB & IG @jinnysista ได้เลยค่ะ

จินนี่ทำเพจรีวิว แชร์เรื่องกิน เที่ยว เมคอัพ สกินแคร์ และไลฟ์สไตล์ชีวิตในต่างประเทศค่า

ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ

Bye!!

Discussion (25)

เยี่ยมเลยจ้า ถือว่าเป็นข้อมูลดีๆ ให้กับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังจะคลอด แต่เราขอเสริมให้อีกนิด สำหรับแม่ๆ ท่านไหนที่กำลังเจอปัญหาน้ำนมมาน้อย เราแนะนำ Jessie Mum เลยค่ะ ตัวนี้ทานแล้วช่วยเพิ่มน้ำนมได้จริง
แตกต่างกันมากๆ 5555 ไทยเราถ้าเทียบก็โรงบาลหรูๆ โน้น ชีวิตที่แตกต่าง แอบอิจฉาทั้งคุณแม่ คุณลูกนะเนี่ย แต่ก็แสดงความยินดีด้วยจ้า
นี่แค่การเริ่มต้นของภารกิจคุณแม่ ต้องหลับๆ ตื่นๆ มาปั้มนมให้คุณลูกบ่อยๆ บางทีไม่ออกก็มีเศร้าตรงนี้แหละ แต่ว่าช่วงอาทิตย์ก่อน เราก็พึ่งลองทานเจสซี่มัมอยู่ พี่สาวซื้อมาให้ลอง เค้าบอกว่าตัวนี้ช่วยทำให้มีน้ำนม ลองดูไม่เสียหาย คุณแม่ก็สู้ๆ นะคะ ส่งกำลังให้กัน
ยินดีด้วยจ้า คุณแม่อย่าลืมเรื่องการกระตุ้นน้ำนม ลูกจะได้มีน้ำนมกินตลอด 6-12 เดือนจ้า ภูมิต้านทานจะได้ดี ลูกจะได้แข็งแรงจ้า
น่ารักอ่ะ ดีกว่าบ้านเยอะ เอาซะอยากไปอยู่ญี่ปุ่นเลยอิอิ ขอให้ทั้งคุณแม่ และคุณลูกแข็งแรงนะคะ