ปมความขัดแย้งจากแนวคิด Body positivity



ทุกๆครั้งเมื่อคนดังก้าวออกมาจากกรอบ beauty standard แล้วประกาศดังๆว่า

"  ชั้นอ้วน ก็แล้วไง   ชั้นรักตัวเองที่เป็นแบบนี้"

คุณสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า  ไม่นานจากนั้น จะมีข้อถกเถียงจากคนในสังคมตามมา และกลายเป็นดราม่าที่ไม่มีใครยอมให้ใคร  แบ่งฝักฝ่ายกันเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับเรื่อง body positivity   และคนที่ยืนยันหัวชนฝาว่า  แนวคิดนี้อันตรายเกินกว่าจะมองข้าม




เทรนเนอร์ชื่อดังที่พวกเราคุ้นเคยจากรายการ The Biggest Loser จุดกระแสดราม่าให้ลุกพรึ่บด้วยความเห็นที่เผ็ดร้อน และเราเชื่อว่า เธอคงรู้อยู่แล้วว่าความเห็นนี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนมาก



 

ความขัดแย้งได้เกิดขึ้นเมื่อเธอได้ไปออกรายการlive ของ Buzzfeed เมื่อบทสนทนาเข้าสู่เรื่อง body positivity และการยอมรับตัวตน   พิธีกรได้เกริ่นขึ้นมาว่า  เธอปลื้ม Ashley Graham และ Lizzo ที่เป็นแบบอย่างของรูปร่างที่ได้รับการชื่นชม ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันได้ง่ายนัก เทรนเนอร์ชื่อดังก็ขัดขึ้นมาด้วยความเห็นตรงกันข้าม


" ทำไมเราถึงต้องชื่นชมรูปร่างของเธอด้วยล่ะคะ   ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญนัก   ทำไมเราถึงไม่ชื่นชมแต่ผลงานดนตรีของเธอล่ะ  เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆถ้าเธอเป็นโรคเบาหวานขึ้นมา"



"ชั้นแค่พูดตรงไปตรงมา   ชั้นปลื้มดนตรีของเธอนะ  ลูกของชั้นก็ชอบผลงานเธอ

  แต่ไม่มีทางเลยที่ชั้นจะมีความคิดว่า  ปลื้มใจจังเลยที่เธออ้วน   ทำไมชั้นต้องสนเรื่องนี้ด้วย   ชั้นมีหน้าที่คอยแคร์เรื่องน้ำหนักตัวของเธองั้นเหรอ"




เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่เกลียดชังคนอ้วน Jillian ก็ได้ชี้แจงผ่าน social media ว่า

" ชั้นได้พูดมาแล้วหลายครั้งหลายหนว่าทุกคนต่างสวยงาม มีคุณค่า มีความเท่าเทียม ชั้นยังยึดมั่นอีกด้วยว่า พวกเราควรรักตัวเองให้มากพอที่จะรเปิดใจรับรู้ถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่มาจากโรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ชั้นไม่มีวันจะอยากให้ใครต้องเจ็บป่วยจากโรคพวกนี้ ชั้นจึงหวังว่าพวกเราควรจะให้ความสำคัญต่อสุขภาพกันก่อนเพราะพวกเราต่างก็รักร่างกายและรักในตัวเราเอง"


Discussion (7)

ในฐานะที่เคยนน.เกิน และมีโรคข้างเคียงจากความอ้วนมาเยอะ เสียเงินเสียเวลา ทำพ่อแม่เดือดร้อนต้องมาเป็นห่วงพาเข้าออกรพ.หาหมออีกสารพัด  เราเห็นด้วยกับจิลเลี่ยนส่วนนึง ที่บอกว่า รักตัวเองนั้นดี แต่อย่ารักจนทำให้มีคนเดือดร้อน  ซึ่งคนเดือดร้อนที่ว่า เราหมายถึงตัวเราเองด้วยค่ะ เรารักในรูปร่างตัวเอง ที่แม้จะเป็นคนเอวตรง ต้นขาใหญ่ เราก็ไม่เฟล หรือขาเรามีเซลลูไลท์ เราก็เฉย ขนแขนเราเยอะ เราก็ชิวๆ  จมูกเราไม่โด่ง ผิวคล้ำไม่เรียบเนียน ตาสองชั้นเราหลบในไม่เท่ากัน เราก็ไม่ซี   ตราบใดที่เราแฮปปี้ เราสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรค มีเรี่ยวแรงทำงาน ใช้ชีวิต มั่นใจกับการงาน การแต่งตัว กินอาหารพอเหมาะพอดี   นี่คือรักตัวเองในแบบของเรา ไม่ใช่รักแบบที่ว่า ฉันกินทุกอย่างจน นน.เกิน เข่าเสื่อม หมอบอกให้ลด ก็ไม่สน เช้าเช็คอินรพ.บ่ายเช็คอินบุฟหมูกะทะ ความดันขึ้น โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ ฉันก็ไม่แคร์  แบบนี้ไม่เรียกรักตัวเองค่ะ มันคือการสปอยล์ตัวเอง ใครเดือดร้อนคะ? ตัวเราเองไง พ่อแม่ครอบครัวอีก ที่ต้องเป็นห่วงต้องคอยดูแล  พยายามแยกให้ออกค่ะ ต้องมานั่งรอคิวหาหมอทุกเดือนมันไม่สนุกหรอกค่ะ รอ50 อัพมีโรคประจำตัวตามวัย ค่อยไปเถอะค่ะ
ก็ถ้าคนหันมา body positive เยอะๆ นางเป็นเทรนเนอร์ก็ไม่ได้เงินไงคะ ^^  รักตัวเองน่ะดี แต่อะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพถ้าปรับได้ก็ควรปรับ อ้วนแล้วเสี่ยงหลายโรค ไม่ควรสนับสนุน  แต่พวก fat shame skinny shame นี่แย่มาก สต เป็นแม่ลูกอ่อนค่ะ เลี้ยงลูกแต่ละวันก็เหนื่อยแล้ว พยายามออกกำลังกายมันก็ไม่ได้ทุกวันเพราะภาระหน้าที่ เจอประจำไอ้คำถามที่ว่าอ้วนขึ้นรึเปล่า พยายามจะ body positive นะแต่คนทักนี่ก็ทักจั๊ง เกลียดดดดดด