ต่อ “คิวปิด(อีรอส)กับเทพอพอลโล”
gasei10อีรอสกับไซคีนะค่ะ >> http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=29681
.............................คิวปิดเป็นบุตรน้อยของเทพวีนัส แม้ผู้เป็นมารดาจะบำรุงเลี้ยงเขาด้วยน้ำทิพย์และกระยาทิพย์ อันเป็นอาหารของทวยเทพ แต่เขาก็ไม่เคยเติบใหญ่ขึ้นเลย แม้ช่วงเวลาจะละล่วงไปหลายปี คิวปิดก็ยังเป็นเด็กน้อยๆที่มีลักยิ้มและช่างหัวเราะ แต่เขาก็สามารถเหาะเหินและวิ่งไปมายังแห่งหนใดได้ตามปรารถนา หรือในเวลาที่อยู่บนโลก เขาก็สามารถดูแลตนเองได้ดีเท่ากับขณะที่อยู่บนยอดเขาโอลิมปุส
.............................ในยามที่เทพอพอลโลไม่ได้ขับราชรถ คิวปิดมักจะติดตามอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ เขาชื่นชมอพอลโลยิ่งกว่าเทพอื่นใด อีกทั้งชื่นชอบคันธนูกับคันศรของเทพอพอลโล และปรารถนาที่จะได้จับถือดูบ้าง
ครั้งหนึ่งเขาเห็น เทพเจ้าอพอลโลหยิบเอาธนูและคันศรที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์ขึ้นมา แล้วออกเดินมุ่งหน้าไปสังหารอสุรกายตนหนึ่งตัวมหึมาสีดำทมิฬนามว่า ไพธ็อน ซึ่งเปนอสุรกายแห่งความมืดมน มันพ่นควันสีดำหนาทึบอออกมา ซึ่งจะแผ่ปกคลุมท้องฟ้าอากาศที่อยู่โดยรอบให้มืดมิดเป็นอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่เทพอพอลโลทรงเป็นเทพแห่งแสงสว่าง พระองค์ทรงเกลียดชังความมืดมน ดังนั้นพระองค์จึงมุ่งหน้าไปยังหุบเขาซึ่งตกอยู่นม่านเงา แล้วสังหารไพธ็อนเสีย
.............................คิวปิดแอบตามไปอย่างเงียบๆโดยที่เทพอพอลโลไม่รู้ตัว จนกระทั่งสังหารไพธ็อนสำเร็จแล้ว และความมืดมนลอยออกไปจากหุบเขา พระองค์จึงแลเห็นหนูน้อยอยู่ข้างกาย
“โอ ลูกศรของท่าน ให้ข้าสักดอกสิ และให้ข้าถือคันธนูของท่าน แล้วข้ายินดีที่จะทำสิ่งใดๆก็ได้ จามแต่ท่านจะบัญชามา” เทพอพอลโลได้แต่หัวเราะ พลางจูงมือคิวปิดกลับไปหามารดา
คิวปิดรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก และตัดสินใจว่าเมื่อไม่มีโอกาสได้จับคันศรของเทพอพอลโล เขาก็จะหามาไว้สำหรับตัวเขาเอง ดังนั้นวันหนึ่งเขาจึงเอ่ยปากขอให้เทพเจ้าวัลแคลประดิษฐ์คันธนูและศรที่ทองคำ เทพวัลแคนจึงประดิษฐืเล็กๆขึ้นมาคันหนึ่ง พร้อมกับลูกศรที่เรียวงาม มีปลายที่แหลมคม และน้ำหนักเบา เทพีวีนัสที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ได้ประทานอำนาจที่ลูกศรขนาดใหญ่มิอาจมีได้ นั่นก็คือ หากผู้ใดถูกลูกศรที่ยิงเข้า หรือสัมผัสเพียงแผ่วเบา เขาผู้นั้นจะไปบังเกิดความรักแก่คนที่ตนพบเห็นคนแรกหลังจากสัมผัสกับลูกศร คิวปิดรู้สึกยินดีกับธนูของตนอย่างยิ่ง
.............................วันหนึ่งซึ่งเทพอพอลโลไม่ได้ขับราชรถออกไป หากแต่จอดไว้หลังม่านเมฆ ในแดนสวรรค์
“นี่เป็นสิ่งที่ดี” พระองค์กล่าว “เพราะชาวโลกควรจะมีเวลาซึ่งท้องฟ้ามัวสลัวบ้าง” แล้วพระองค์ก็เข้าไปในป่าล่าสัตว์ เมื่อพระองค์มาถึงบริเวณที่โล่งแห่งหนึ่งก็พบกับคิวปิดนั่งเล่นอยู่กับอาวุธใหม่ของตน เทพเจ้าอพอลโลรู้สึกขัดเคืองใจที่คิวปิดสามารถจับถืออาวุธชนิดเดียวกับที่พระองค์ใช้สังหารอสูรไพธ็อนได้อย่างชำนาญ พระองค์จึงกล่าวกับคิวปิดว่า “เจ้าทำอะไรกับอาวุธทำศึกชิ้นนี้เล่าเด็กน้อย วางลงเถอะของชิ้นนี้มีไว้สำหรับผู้ใหญ่”
คิวปิดรู้สึกน้อยใจและขุ่นเคืองอย่างแรง(= =” โดนหยาม) เขาคาดหวังไว้ว่าเทพอพอลโลจะชื่นชมในความสามรถของตนดังที่เทพีวีนัสชื่นชม “ลูกศรของท่านทำให้ไพธ็อนถึงแก่ความตายได้ แต่ศรของข้าทำให้ท่านเจ็บปวดได้” คิวปิดกล่าว
.............................พูดจบคิวปิดก็ปล่อยศรทะยานออกไป มันพุ่งไปกระทบกายของเทพอพอลโลอย่างแผ่วเบาแทบไม่ะคายผิว อพอลโลได้แต่เดินแล้วหัวเราะต่อไป โดยหาเข้าใจในความหมายของคำว่าเจ็บปวดของคิวปิด ไม่ช้าพระองค์ก็มาพบนางไม้ที่งดงามตนหนึ่ง นามว่าดาฟเน่ เทพเจ้าอพอลโลเคยพบเธอมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเหนว่านางงดงามเท่าครั้งนี้มาก่อน พระองค์จึงวิ่งเข้าไปเพื่อที่จะสนทนากับเธอ แต่เมื่อดาฟเน่เหนพระองค์วิ่งเข้ามาหาก็เกิดความตระหนก
“ฉันจะช่วยเธอเก็บดอกไม้นะ” เทพเจ้าอพอลโลอาสา แต่ดาฟเน่เป็นหญิงขี้อาย ด้วยความตกใจกลัวเธอจึงวิ่งเว็วขึ้น กระทั่งเกือบจะหายใจไม่ออกและวิ่งต่อไปไม่ไหวอีก เธอจึงคร่ำครวญเสียงดัง เพื่อขอความช่วยเหลือจากฟีนิอัส เทพเจ้าแห่งสายน้ำ ฟินิอัสผู้เป็นบิดาของเธอเมื่อได้ยินเสียงของธิดาดังมาแต่ไกล ก็เข้าใจว่าเกิดเหตุร้ายกับเธอ พระองค์จึงแผ่อำนาจปกคลุมผืนป่าอย่างรวดเร็ว และเพื่อปกป้องธิดาพระองค์จึงเปลี่ยนร่างของเธอให้กลายเป็นต้นไม้ เมื่อเทพเจ้าอพอลโลเอื้อมมือไปสัมผัสกับดาฟเน่ หญิงสาวก็อันตรธานหายไปเหลือไว้แต่ต้นลอเรลอันสวยงามแทนที่
.............................พระองค์รู้สึกเศร้าเสียใจกับการที่ทำให้ร่างของดาฟเน่เปลี่ยนไป พระองค์จึงยืนอยู่ข้างต้นไม้ตลอดทั้งบ่าย เจรจาและอ้อนวอนขอให้ดาฟเน่ยกโทษ พระองค์จึงขอใบลอเรลจากศรีษะของหญิงสาวจำนวนหนึ่ง เพื่อว่าพระองค์จะได้นำไปร้อยไว้ประดับบนศรีษะ ดาฟเน่จึงสะบัดกิ่งก้านใบ และใบไม้จำนวนหนึ่งก็พร่างพรูลงมา
.............................พระองค์จึงรู้ว่าดาฟเน่ให้อภัยแล้วจึงเก็บใบไม้มาและร้อยเป็นพวงมาลัยประดับไว้บนศรีษะอย่างทะนุถนอมเทพอพอลโลโยนมาลัยเหี่ยวเฉาออกแล้วสวมมงกุฏใบลอเรลแทน ซึ่งมันก็ยังคงเขียวสดเสมอมา
ขอบคุณ Holyfary ด้วยนะค่ะ
ปล.ถ้ามีปัญหาอะไรกรุณาติดต่อส่วนตัวนะค่ะ ไม่ชอบพวกชอบแอบกัดคนอื่นค่ะ
.............................คิวปิดเป็นบุตรน้อยของเทพวีนัส แม้ผู้เป็นมารดาจะบำรุงเลี้ยงเขาด้วยน้ำทิพย์และกระยาทิพย์ อันเป็นอาหารของทวยเทพ แต่เขาก็ไม่เคยเติบใหญ่ขึ้นเลย แม้ช่วงเวลาจะละล่วงไปหลายปี คิวปิดก็ยังเป็นเด็กน้อยๆที่มีลักยิ้มและช่างหัวเราะ แต่เขาก็สามารถเหาะเหินและวิ่งไปมายังแห่งหนใดได้ตามปรารถนา หรือในเวลาที่อยู่บนโลก เขาก็สามารถดูแลตนเองได้ดีเท่ากับขณะที่อยู่บนยอดเขาโอลิมปุส
.............................ในยามที่เทพอพอลโลไม่ได้ขับราชรถ คิวปิดมักจะติดตามอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ เขาชื่นชมอพอลโลยิ่งกว่าเทพอื่นใด อีกทั้งชื่นชอบคันธนูกับคันศรของเทพอพอลโล และปรารถนาที่จะได้จับถือดูบ้าง
ครั้งหนึ่งเขาเห็น เทพเจ้าอพอลโลหยิบเอาธนูและคันศรที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์ขึ้นมา แล้วออกเดินมุ่งหน้าไปสังหารอสุรกายตนหนึ่งตัวมหึมาสีดำทมิฬนามว่า ไพธ็อน ซึ่งเปนอสุรกายแห่งความมืดมน มันพ่นควันสีดำหนาทึบอออกมา ซึ่งจะแผ่ปกคลุมท้องฟ้าอากาศที่อยู่โดยรอบให้มืดมิดเป็นอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่เทพอพอลโลทรงเป็นเทพแห่งแสงสว่าง พระองค์ทรงเกลียดชังความมืดมน ดังนั้นพระองค์จึงมุ่งหน้าไปยังหุบเขาซึ่งตกอยู่นม่านเงา แล้วสังหารไพธ็อนเสีย
.............................คิวปิดแอบตามไปอย่างเงียบๆโดยที่เทพอพอลโลไม่รู้ตัว จนกระทั่งสังหารไพธ็อนสำเร็จแล้ว และความมืดมนลอยออกไปจากหุบเขา พระองค์จึงแลเห็นหนูน้อยอยู่ข้างกาย
“โอ ลูกศรของท่าน ให้ข้าสักดอกสิ และให้ข้าถือคันธนูของท่าน แล้วข้ายินดีที่จะทำสิ่งใดๆก็ได้ จามแต่ท่านจะบัญชามา” เทพอพอลโลได้แต่หัวเราะ พลางจูงมือคิวปิดกลับไปหามารดา
คิวปิดรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก และตัดสินใจว่าเมื่อไม่มีโอกาสได้จับคันศรของเทพอพอลโล เขาก็จะหามาไว้สำหรับตัวเขาเอง ดังนั้นวันหนึ่งเขาจึงเอ่ยปากขอให้เทพเจ้าวัลแคลประดิษฐ์คันธนูและศรที่ทองคำ เทพวัลแคนจึงประดิษฐืเล็กๆขึ้นมาคันหนึ่ง พร้อมกับลูกศรที่เรียวงาม มีปลายที่แหลมคม และน้ำหนักเบา เทพีวีนัสที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ได้ประทานอำนาจที่ลูกศรขนาดใหญ่มิอาจมีได้ นั่นก็คือ หากผู้ใดถูกลูกศรที่ยิงเข้า หรือสัมผัสเพียงแผ่วเบา เขาผู้นั้นจะไปบังเกิดความรักแก่คนที่ตนพบเห็นคนแรกหลังจากสัมผัสกับลูกศร คิวปิดรู้สึกยินดีกับธนูของตนอย่างยิ่ง
.............................วันหนึ่งซึ่งเทพอพอลโลไม่ได้ขับราชรถออกไป หากแต่จอดไว้หลังม่านเมฆ ในแดนสวรรค์
“นี่เป็นสิ่งที่ดี” พระองค์กล่าว “เพราะชาวโลกควรจะมีเวลาซึ่งท้องฟ้ามัวสลัวบ้าง” แล้วพระองค์ก็เข้าไปในป่าล่าสัตว์ เมื่อพระองค์มาถึงบริเวณที่โล่งแห่งหนึ่งก็พบกับคิวปิดนั่งเล่นอยู่กับอาวุธใหม่ของตน เทพเจ้าอพอลโลรู้สึกขัดเคืองใจที่คิวปิดสามารถจับถืออาวุธชนิดเดียวกับที่พระองค์ใช้สังหารอสูรไพธ็อนได้อย่างชำนาญ พระองค์จึงกล่าวกับคิวปิดว่า “เจ้าทำอะไรกับอาวุธทำศึกชิ้นนี้เล่าเด็กน้อย วางลงเถอะของชิ้นนี้มีไว้สำหรับผู้ใหญ่”
คิวปิดรู้สึกน้อยใจและขุ่นเคืองอย่างแรง(= =” โดนหยาม) เขาคาดหวังไว้ว่าเทพอพอลโลจะชื่นชมในความสามรถของตนดังที่เทพีวีนัสชื่นชม “ลูกศรของท่านทำให้ไพธ็อนถึงแก่ความตายได้ แต่ศรของข้าทำให้ท่านเจ็บปวดได้” คิวปิดกล่าว
.............................พูดจบคิวปิดก็ปล่อยศรทะยานออกไป มันพุ่งไปกระทบกายของเทพอพอลโลอย่างแผ่วเบาแทบไม่ะคายผิว อพอลโลได้แต่เดินแล้วหัวเราะต่อไป โดยหาเข้าใจในความหมายของคำว่าเจ็บปวดของคิวปิด ไม่ช้าพระองค์ก็มาพบนางไม้ที่งดงามตนหนึ่ง นามว่าดาฟเน่ เทพเจ้าอพอลโลเคยพบเธอมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเหนว่านางงดงามเท่าครั้งนี้มาก่อน พระองค์จึงวิ่งเข้าไปเพื่อที่จะสนทนากับเธอ แต่เมื่อดาฟเน่เหนพระองค์วิ่งเข้ามาหาก็เกิดความตระหนก
“ฉันจะช่วยเธอเก็บดอกไม้นะ” เทพเจ้าอพอลโลอาสา แต่ดาฟเน่เป็นหญิงขี้อาย ด้วยความตกใจกลัวเธอจึงวิ่งเว็วขึ้น กระทั่งเกือบจะหายใจไม่ออกและวิ่งต่อไปไม่ไหวอีก เธอจึงคร่ำครวญเสียงดัง เพื่อขอความช่วยเหลือจากฟีนิอัส เทพเจ้าแห่งสายน้ำ ฟินิอัสผู้เป็นบิดาของเธอเมื่อได้ยินเสียงของธิดาดังมาแต่ไกล ก็เข้าใจว่าเกิดเหตุร้ายกับเธอ พระองค์จึงแผ่อำนาจปกคลุมผืนป่าอย่างรวดเร็ว และเพื่อปกป้องธิดาพระองค์จึงเปลี่ยนร่างของเธอให้กลายเป็นต้นไม้ เมื่อเทพเจ้าอพอลโลเอื้อมมือไปสัมผัสกับดาฟเน่ หญิงสาวก็อันตรธานหายไปเหลือไว้แต่ต้นลอเรลอันสวยงามแทนที่
.............................พระองค์รู้สึกเศร้าเสียใจกับการที่ทำให้ร่างของดาฟเน่เปลี่ยนไป พระองค์จึงยืนอยู่ข้างต้นไม้ตลอดทั้งบ่าย เจรจาและอ้อนวอนขอให้ดาฟเน่ยกโทษ พระองค์จึงขอใบลอเรลจากศรีษะของหญิงสาวจำนวนหนึ่ง เพื่อว่าพระองค์จะได้นำไปร้อยไว้ประดับบนศรีษะ ดาฟเน่จึงสะบัดกิ่งก้านใบ และใบไม้จำนวนหนึ่งก็พร่างพรูลงมา
.............................พระองค์จึงรู้ว่าดาฟเน่ให้อภัยแล้วจึงเก็บใบไม้มาและร้อยเป็นพวงมาลัยประดับไว้บนศรีษะอย่างทะนุถนอมเทพอพอลโลโยนมาลัยเหี่ยวเฉาออกแล้วสวมมงกุฏใบลอเรลแทน ซึ่งมันก็ยังคงเขียวสดเสมอมา
ขอบคุณ Holyfary ด้วยนะค่ะ
ปล.ถ้ามีปัญหาอะไรกรุณาติดต่อส่วนตัวนะค่ะ ไม่ชอบพวกชอบแอบกัดคนอื่นค่ะ
Discussion (10)