วิเคราะห์ละเอียด : A World Of Married Couple VS ต้นฉบับอังกฤษ



คำเตือน Spoil ทั้ง Doctor Foster และ A World Of Married Couple แบบเจาะลึก  หากยังไม่ดู  ขอให้ผ่านไปก่อนค่ะ


เมื่อพูดถึงซีรีส์เรื่องชิงรักหักสวาท บางคนอาจจะอุปทานว่าได้กลิ่นของดราม่าแนวที่เราเรียกว่าน้ำเน่าโชยออกมาจากจอ เนื้อหาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนอกใจ จากรักกลายเป็นแค้น จากแค้นกลายเป็นทำลาย และเป็นอะไรที่คาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าในที่สุด นางเอกผู้ที่ถูกทรยศจะ power up กลับมาทวงความยุติธรรมและเอาชนะจนเจอตอนจบแบบ happy ending




แต่สำหรับซีรีส์ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญอย่าง A World Of Married Couple นั้นแตกต่างออก ไม่เพียงแต่ขึ้นแท่นซีรีส์ช่องเคเบิ้ลที่โกยเรตติ้งสูงสุดเพียงเท่านั้น แต่นักแสดงนำทุกคนยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม

ยอมรับว่า ตอนที่ยังไม่ได้ยินกระแสตอบรับอันล้นหลามนี้ เราเพียงแต่อ่านเรื่องย่อเพียงผ่านๆ โดยที่ไม่คิดจะคลิกเข้าไปชมแต่อย่างใด เพราะไม่ได้รู้สึกว่าซีรีส์เกาหลีแนวนี้มีความดึงดูดเป็นพิเศษ พล็อทยังดูจะคล้ายๆกับละครน้ำเน่าตอนกลางวันที่แม่บ้านเกาหลีนิยมด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้รับข้อมูลมาใหม่ว่า นี่คือ remake ของ Doctor Foster ซีรีส์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ในอังกฤษมาแล้ว เราก็เปลี่ยนใจทันที!


เพราะ Doctor Foster คือหนึ่งในซีรีส์อังกฤษที่ประทับใจผู้เขียนมากที่สุด ไม่เพียงแต่เรตติ้งที่มีผู้ชมสูงถึง 9 - 10 ล้านคนในแต่ล่ะตอนที่เป็นข้อพิสูจน์ แต่ยังได้รับคำวิจารณ์ดีๆและรางวัลจากการประกวดชั้นนำมามากมาย

ต้นแบบของ A World Of Married Couple มีความแตกต่างเช่นใดบ้าง ลองมาติดตามวิเคราะห์กันได้เลยค่ะ


Dr . Gemma Foster  


" ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทถูกนอกใจแล้วต้องกรีดร้องโวยวาย   เป็นของพังๆที่รอการหย่า ชั้นเหนือไปกว่านั้น    ฉันเป็นคนฉลาด!"


( การประกาศจุดยืนของ Gemma เมื่อมีคนหวังดีแนะนำให้เธอเลิกกับผัวจอมนอกใจและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ก่อนจะช้ำใจไปกว่านี้)

เธอน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มของ "ผู้หญิงทำงานผู้สมบูรณ์แบบ"  ด้วยตำแหน่งแพทย์หญิงที่ก้าวขึ้นมาเป็น partner ของ clinic ในวัยไม่ถึงสี่สิบ ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอได้รับการเติมเต็มจนไม่ต้องการความสุขมากขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว เธอและ Simon ผู้เป็นสามีร่วมสร้างครอบครัวในเมืองเล็กๆที่แวดล้อมไปด้วยสังคมดีๆแ ดูเหมือนว่าชีวิตการแต่งงานที่ยาวนานมากกว่าสิบปีไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์จืดจางลงเลยสักนิด เธอได้รับการปฏิบัติจากสามีด้วยความยกย่อง เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ทำหน้าที่สามีและพ่อของลูกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะไม่ใช่หนุ่มสาวแล้ว เขายังมีความปรารถนาในตัวเธออย่างร้อนแรง นี่ก็น่าจะเกินกว่าคำว่าเพียงพอ

จนกระทั่งเธอพบเส้นผมบลอนด์ยาวที่ติดมากับผ้าพันคอของสามี ...


ผู้หญิงที่ถูกหักหลังอย่างรุนแรง   แต่ก็ยังมีสติเพียงพอในการคิดหาหนทางรับมือกับปัญหา
   เซนส์ผู้หญิงมักจะบอกเสมอว่าเมื่อไรที่คนรักโกหก   และเมื่อวางแผนจับผิดลับหลังจนได้หลักฐานชัดเจนแน่นอนว่ากำลังถูกสวมเขา       หมอ Gemma ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายและฉีกหน้าสามีและชู้รักต่อหน้าผู้คน     อาจจะฟังดูเหมือนผู้หญิงใจเด็ดที่ไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอ     แต่เรากลับสัมผัสได้ว่า เธอกำลังแตกสลายอยู่ภายใน  เพียงแต่ยังให้ความสำคัญกับครอบครัวมากจนต้องตั้งสติเพื่อชั่งน้ำหนักถึงผลกระทบจากการหย่าร้าง    ทั้งๆที่หูอื้อตาลายไปด้วยความเคียดแค้นแทบคลั่ง   แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะสงบปากสงบคำไว้ก่อนเพื่อจะพิจารณาต่อไปว่าจะเลือกรับมือกับปัญหานี้เช่นไร  แม้ว่าเธอจะมั่นใจในความฉลาดเฉลียวของตัวเองมากขนาดไปน ก็ยังต้องวิ่งวุ่นพยายามหาคำตอบไม่ต่างจากหญิงอื่น ไม่ว่าจะเปิด search engine บนcomputer หรือปรับทุกข์กับเพื่อนสาว   เธอปรึกษาแม้แต่คนที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน


ความมั่นใจว่าตัวเองฉลาดล้ำเหนือคนอื่นกลับมาทำร้ายเธอเอง เพราะความเป็นจริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเมียหลวงนี่สิคะ ช่วงแห่งความระแวง เธอยังมานั่งเปิด computer เพื่อค้นหาวิธีรับมือสามีที่นอกใจอยู่เลย เมื่อปรึกษาคนใกล้ตัวก็ได้รับคำแนะนำต่างกัน ทั้งบอกให้กล้ำกลืนความเจ็บแล้วให้อภัยสามี รักษาชีวิตแต่งงานไว้ และบอกให้รีบหย่าเพื้อเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะถูกสวมเขาให้อีก

เธอยังรีรออย่างลังเลว่าจะเลือกทางไหน แม้จะเตรียมทางเลือกต่างๆไว้แล้ว แต่ยิ่งปล่อยเรื้อรัง บาดแผลกลับสาหัสขึ้น ใจที่บอบช้ำกลับฮึดขึ้นมาทวงแค้นด้วยการประจาน นี่คือวิธีสุด classic ที่ผู้หญิงหลายคนเลือกทำ

แต่ความสะใจชั่วคราวนี้จะคุ้มกับหายนะที่กำลังตามมาหรือไม่ ??



ภาพของหมอ Gemma อาจจะดูเข้มแข็งในสายตาหลายๆคน   เธอสามารถรับมือกับสถานการณ์อย่างใจเย็นได้ แล้วคิดหาแผนการทั้งตั้งรับและโต้กลับ    แต่ในขณะเดียวกัน   "การต่อสู้"  ที่เกิดขึ้นภายในใจของเธอก็ดำเนินไปอย่างดุเดือด   แม้จะเป็นผู้หญิงที่ดูมีหลักการและ   แต่ความรักและความแค้นที่ผสมปนเปกันจนแทบแยกไม่ออกก็ทำให้เธอก้าวข้ามเส้นแบ่งของศีลธรรมได้โดยไม่ลังเล  มุ่งมั่นจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามจนละเลยสิ่งที่มีความหมายต่อเธอมากที่สุด    และในที่สุดก็ต้องชดใช้ผลแห่งการกระทำของตัวเอง  และเรียนรู้ว่า ความทุกข์ใดๆที่คิดว่าทุกข์จนแทบขาดใจก็ยังไม่สามาถเทียบเท่ากับการสูญเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตไป     กว่าจะรู้ก็สายจนเกินแก้...


หมอจีซอนอู

"การตัดความสัมพันธ์กับคู่ครองที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบทั้งชีวิต ก็เหมือนเฉือนเอาส่วนหนึ่งของร่างกายออก   และความเจ็บปวดจะตามหลอกหลอนทั้งคู่ไปตลอด"


(หมอจีมักจะรำพันเสมอว่า เมันเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดขาดกับสามีเก่า แม้เขาจะทำร้ายเธอจนเจ็บเจียนตาย)



จีซอนอู แพทย์หญิงผู้มีภาพลักษณ์ดุจนางพญาผู้งามสง่า แคแรคเตอร์ของเธอไม่แตกต่างจากเมียหลวง "ตัวแม่" เธอสวยปิ๊งอ่อนวัย รสนิยมดี กิริยามารยาทงดงาม จะบอกได้ว่า มีออร่าแบบหญิง "สูงส่ง" ก็คงไม่เกินไปนัก

หมอจีใช้ชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขกับครอบครัวที่อบอุ่น มาตลอดเวลาสิบกว่าปีจนลูกชายเข้าสู่วัยรุ่น เธอรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้รับความรักมากล้นจากสามี แม้เธอจะไม่สามารถพึ่งพาเขาในทางการเงินและเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัวเอง ซึ่งดูสวนทางกับบทบาทหญิงชายในอุดมคติของสังคมเกาหลี แต่ตลอดระยะเวลาหลายปี เรื่องนี้ดูไม่ใช่อุปสรรคในการใช้ชีวิตคู่และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นของพวกเค้าเลย

แต่เธอไม่รู้ตัวว่า คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวรอวันโจมตีให้ดำดิ่งไปสู่ห้วงแห่งความเจ็บปวด เธอหนีเกมการแก้แค้นไปไม่พ้น ถึงขนาดต้องลดตัวลงไปเแปดเปื้อนกับเรื่องคาวโลกีย์ซะเอง
นี่อาจจะเป็นมิติของเมียหลวงในซีรีส์เกาหลีที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนัก   ในซีรีส์ชิงรักหักสวาทที่ผ่านมานั้น  เรามักจะได้เห็นนางเอกผู้แสนดีแต่อาภัพถูกคนที่ไว้ใจรวมหัวหลอกใช้จนต้องสูญเสียทุกอย่างและค่อยๆรวบรวมกำลังมาแก้แค้นสไตล์ "ธรรมะชนะอธรรม"    
 remake เรื่องนี้ได้นำเสนอกิเลสของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา   ไม่มีใครเป็นเหยื่อที่น่าสงสารที่สุด  ไม่มีขาวและดำ แต่เป็นความเทาหม่นๆ  และอาจจะตรงกับประสบการณ์จริงของใครหลายคน




ข้อแตกต่างของ หมอ Gemma  -  หมอจี

- ทั้งสองถูกวางตัวเป็นสาวสี่สิบกะรัตที่เก่งกาจในการทำงานและมีบุคลิกแบบผู้นำ แต่หมอจีจะดูสุขุมนุ่มลึกกว่า  เธอสง่างาม รักษามารยาททางสังคมได้แทบทุกสถานการณ์ ในขณะที่หมอสาวอังกฤษจะมีความปราดเปรียว และเมื่อถูกบีบคั้นมากๆเข้า บางครั้งก็แสดงอาการปรี๊ดแตกโดยไม่ได้เก็บกดไว้ไว้ภายในตลอดเวลา

- หมอจีต้องรับศึกรอบข้าง แค่สามีจอมสูบกับเมียน้อยมั่นหน้าก็หนักหนาสาหัสแล้ว  แต่ยังต้องพบกับก็ยังมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่แทงข้างหลังและเลื่อนระดับมาทำร้ายกันซึ่งๆหน้า    นักเลงบ้าเลือดที่มีความแค้นส่วนตัว    พ่อของมือที่สามที่ร่ำรวยทรงอิทธิพล   ถูกปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียง  ส่วนในต้นฉบับ   หมอ Foster จะไม่ได้มีศัตรูรอบด้านขนาดนั้นค่ะ  เธอถูกโจมตีบ้างก็จริง แต่นั่นก็เป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิดของเจ้าตัว      ภาพลักษณ์ของนางเอกเวอร์ชั่นเกาหลีจึงออกมาในรูปแบบของ victim ชัดเจนกว่ามาก
- หมอจีดูมีเยื่อใยกับสามีเก่าชัดเจน  แม้จะโกรธแค้น ไม่ให้อภัย แต่เธอไม่ลืมเลือนความรักความผูกพัน    ส่วนฝั่งอังกฤษ  หมอไม่ได้โหยหาอดีตที่หอมหวานเท่าใดนัก  มุ่งแต่จะเอาชนะกันมากกว่า    เธอใช้ความฉลาดค่อยๆต้อนเป้าหมายให้มาติดกับ  แต่บางครั้งก็แรงแค้นนี้ก็ดูน่ากลัวเข้าข่าย stalker     และเวอร์ชั่นอังกฤษก็ทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งว่า  hate sex คืออะไร!    ในขณะที่ฝั่งเกาหลีจะย้ำบ่อยๆว่า  แม้จะห้ำหั่นกันรุนแรงเพียงใด  แต่ภายใต้ความแค้นก็ยังมีสายใยความรักหลงเหลืออยู่



Simon

"เราทุกคนต่างเป็นสัตว์  บางครั้งไม่สามารถควบคุมเรื่องทางชีววิทยาไม่ได้   เราตกหลุมรักทั้งๆที่มันไม่ควร   เรามี sex กับคนที่ไม่ควร  ผมเบื่อที่จะพูดขอโทษแล้ว เพราะใครๆในโลกก็ทำกันทั้งนั้น"



(นี่คือเหตุผลที่ Simon อธิบายในการนอกใจ)


ตอนที่ Doctor Foster กำลังโกยเรตติ้งนั้น  Twitter เต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งชายใจต่ำตมคนนี้ค่ะ    เคยถูกยกให้เป็นผู้ชายที่ถูกเกลียดมากที่สุดในอังกฤษซะด้วยซ้ำ     ผู้ชมมากมายอาจจะรุมด่าว่านี่คือผัวสุดชั่ว level ซาตาน   แต่สิ่งใดล่ะที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม toxic ต่อทั้งสองครอบครัว   

ลืมคำว่า "ก็แค่เผลอใจ" ไปได้เลยค่ะ Simon แตกต่างจากจากคำแก้ตัวของพวกที่นอกใจแค่ครั้งคราวแล้วถูกจับได้ เพราะผู้ชายคนนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนของคำว่า serial cheater เขาเติบโตมาพร้อมกับแม่ที่ต้องทุกข์ทรมานจากการนอกใจของพ่อ แต่ถ้าคุณคิดว่า นั่นจะช่วยย้ำเตือนเขาไม่ให้ทำร้ายคนรักแล้วก็ผิดไปถนัด "ลูกชายก็เหมือนกับพ่อนั่นแหละ " ผู้หวังดีคนหนึ่งได้เตือนภรรยาของ Simon ไว้ และมันเป็นไปตามนั้นไม่มีผิด ถึงจะหย่าไปเริ่มชีวิตใหม่ไฉไลกับน้อยเมียน้อยที่ทั้งสาวทั้งสวยและรวยแถมยังหัวอ่อนให้หลอกใช้ได้สบายๆ แต่ยังไงก็ซื่อสัตย์กับนางไม่ได้อยู่ดี


(ช็อทสำคัญที่ในซีรีส์เกาหลีไม่มีคือ   ทั้งๆที่เป็นงานเลี้ยงแต่งงานของตัวเองแท้ๆ  แต่เพียงแค่เมียเก่ามายืนเฉียดๆนิดเดียว ความเป็นชายก็แข็งตัวขึ้นมาจนอีกฝ่ายรู้สึกได้    ความหื่นไม่รู้จักพอนี้กลายมาเป็นจุดอ่อนจนเมียเก่าเอามาแก้แค้นจนคนดูอื้ออึงทั่ว internet)



"พ่อพร่ำบอกตัวเองไปเหอะว่าตัวเองเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี   แต่มันเป็นเรื่องตอแหลทั้งนั้น   การโกหกตัวเองเป็นสิ่งที่เดียวที่สามารถช่วยให้พ่อมีชีวิตมาได้ถึงตอนนี้    เพราะเมื่อไรก็ตามที่พ่อเลิกโกหก    มันจะทำให้พ่อรู้ตัวทันทีว่าตัวเองเป็นแค่จอมล้มเหลวคนหนึ่ง"


นี่คือคำพูดของน้อง Tom  ที่ใช้เรื่องจริงมาตอกหน้าจนพ่อถึงกับไปไม่เป็น  และมันได้อธิบายความเป็น Simon ได้อย่างชัดเจน   จริงอยู่ที่เขาดูแลเอาใจใส่ครอบครัวเป็นอย่างดี  แต่เมื่อถูกGemma  แฉพฤติกรรมนอกใจเพื่อทำลายแผนดูดเงินจากครอบครัวเมียน้อย   เขาก็ไม่ต้องคอยสวมหน้ากากผัวแสนดีอีกต่อไป  
Simon คือตัวอย่างคำว่า "ท่าดีทีเหลว"  และขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดใจยอมรับกับภรรยาว่า  ตัวเองมีความคับข้องใจมากเพียงใดที่ไม่เสามารถก้าวมารับบทบาทผู้นำหาเลี้ยงครอบครัว   เขาช่วยเลี้ยงลูกชายอย่างหน้าชื่นตาบานไปพร้อมกับเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ   ในขณะที่ภรรยาประสบความสำเร็จในฐานะแพทย์หญิงที่เป็น partner ของคลีนิคดังในบ้านเกิดของเขาเอง  แต่เขาไม่เคยได้แตพต้องความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน  ซ้ำร้าย ยังแอบเอาทรัพย์สินของครอบครัว ( ที่ภรรยาเป็นฝ่ายหามาได้มากกว่า)  ไปเดิมพันกับธุรกิจที่ไม่โปร่งใสและมันก็ล้มเหลวจนอาจจะต้องล้มละลายไปกันหมด     แต่ก็ไปประจวบเหมาะที่เขาสามารถดึงดูด "เหยื่อ" รายใหม่ให้มาติดกับได้    เธอคือสาววัยมหาลัยที่มีสัมพันธ์สวาทมายาวนานสองปี     ความคล้ายคลึงระหว่างน้องหนูเมียน้อยและเมียหลวงก็คือ  พวกเธอกลายเป็น resource ให้ Simon พึ่งพาทางการเงินได้นั่นเอง
จิตใจที่อ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความผิดของตัวเองผลักดันให้ Simon กลายเป็นปีศาจ  
ทั้งๆที่ทำร้ายร่างกายภรรยาที่ยืนหยัดเป็นคู่ชีวิตกันมายาวนานจนเลือดอาบหน้า    แต่มันกลับกลายเป็นความผิดของเธอที่ทำให้เขามีประวัติทางอาชญากรรม   และกลับมาจองเวรเธอ  ทั้งๆที่ตัวเองมีชีวิตใหม่ที่แสนสุขไปแล้ว  เขาสามารถเลือกเส้นทางที่ต่ำช้าอย่างการเป่าหูลูกให้เกลียดชังแม่ด้วยการนำเรื่องราวในอดีตมาใส่สีเติมไข่ให้เธอเป็นนางมารไร้หัวใจ   จนกระทั่งใกล้จะปิดฉาก  มันก็ยังยากเย็นสำหรับเขาที่จะยอมรับได้ว่า ตัวเองล้มเหลวไปหมดทุกอย่าง และฉวยโอกาสสร้างเรื่องโกหกให้ตัวเองดูดี   จนเรื่องราวบานปลายทำลายจิตใจหลายคนจนแตกสลาย  ไม่เว้นตัวเขาเอง

อีแทโอ

"การรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิด"


(คำแก้ตัวของอีแทโอแก้ตัวถึงเหตุผลของการนอกใจ)

มันอาจจะยากสำหรับบางคนที่จะเข้าใจว่า ผู้หญิงเห็นความดีงามอะไรในตัวอี แทโอมากมายจึงต้องแย่งชิงกันถึงปานนั้น   แน่ล่ะว่าเขาหล่อเหลามีเสน่ห์พริ้วไหว  ทั้งยังคอยแสดงความใส่ใจได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ   แม้จะหลงไหลในรสสวาทของหญิงอื่น  แต่ก็คอยหยอดคำหวานและแสดงบทบาทของสามีผู้แสนดีได้อย่างแนบเนียน   ผู้หญิงทั้งสองเมินเฉยต่อความคิดที่ว่า  เขากำลังใช้ประโยชน์จากเงินทองของพวกเธอโดยไม่จำเป็นต้องพยายามให้เหนื่อย    พวกเธอกลับพึงพอใจด้วยซ้ำที่ได้สนับสนุนสามีให้ประสบความสำเร็จ   โดยเฉพาะหมอจีที่ทุ่มเทมาตลอด 15 ปี   แต่กลับไม่ได้สัมผัสถึงความก้าวหน้าในการงานของเขา    ส่วนน้องเมียน้อยเองไม่สนว่าอี แทโอจะใช้ประโยชน์จากเมียหลวงมาก่อนรึไม่   อาสาเป็นแม่บุญทุ่มอย่างเต็มใจ  เธอไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเหมือนกับเมียหลวงก็ปรนเปรอผู้ชายได้สบายๆ   แล้วแบบนี้จะบอกเลิกให้เสียของไปทำไม!  เมื่อผู้หญิงสองคนต่างหลงรักเขาได้ถึงขนาดนี้    ความหลงตัวเองจึงทำให้ย่ามใจขึ้นมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่ากำลังเจอแผนตลบหลัง     เมื่อถูกเมียประจานจนเสียหน้าและถูกกีดกันไม่ให้พบลูก เขาจึงเก็บความแค้นฝังใจกลับมาทำลายเธอทุกรูปแบบ


ความแตกต่างของ Simon และอี แทโอ

- สองตัวละครนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกันมากทีเดียวค่ะ แต่ผัวเลวในเวอร์ชั่นเกาหลีจะแสดงออกชัดเจนว่ามีใจกับหมอจีแบบ 100% คอยแสดงความหึงหวงและไม่ยอมปล่อยวาง แม้เธอจะทำท่ายอมแพ้ไม่อยู่ในวงจรอุบาทว์คอยฟาดฟันกันต่อก็ยังตามมาทวงตำแหน่ง "ผู้ชายของเธอ" แต่ทางอังกฤษ ผัวเลวดูจะปรารถนาในที่จะทำเรื่อง"อย่างว่า"กับเธอ เข้าตำราวัวเคยขา ม้าเคยขี่ เขาเล่นสงครามประสาทกับเธอก็จริง แต่ก็ไม่หมกมุ่นในไปถึงขั้นอีแทโอหมกมุ่นในตัวเมียเก่าสุดๆ

- ฝั่งเกาหลีจะพยายาชูว่า อี แทโอคือผู้ชายที่สามารถรักผู้หญิงได้สองคนไปพร้อมๆกัน และอยากจะได้ไว้ทัั้งสองคน แต่ Simon จะแสดงความโฉดชั่วและพฤติกรรม abusive ต่อ Gemma อย่างหนัก เป็นพวกหลงรักตัวเองที่เมื่อต้องยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง ก็ถึงกับลุกขึ้นมาไม่ไหว 





Kate


" มันดีเหลือเกินที่ทุกคนต้อนรับเรากลับมาและให้อภัยเรา  ปล่อยให้อดีตมันเป็นแค่อดีตไป    เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังอีกค่ะ      ที่จริงชั้นอยากจะขอบคุณ Gemma ที่อุตส่าห์มาร่วมงานทั้งๆที่ไม่ได้รับเชิญ   นั่นคงหมายความว่า คุณอวยพรให้เรามีความสุขใช่มั้ยคะ"


( คำประกาศของ Kate ในการต้อนรับแขกในparty ต้อนรับกลับบ้าน และเผชิญหน้ากับอดีตเมียหลวงอย่างมาดมั่น)

น้องหนูเมียน้อยที่มีทุกอย่างอยู่ในมือ แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจกับสัมพันธ์ผิดศีลธรรม  เธอดูไม่สนใจสักนิดว่าได้ทำให้ลูกผู้หญิงอีกคนต้องทุกข์ทรมาน การแย่งผู้ชายของคนอื่นมาครองแล้วเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจเป็นเรื่องปกติในยุคนี้หรือ ?


แต่เมื่อพินิจดูแล้ว  Kate ก็ไม่ได้ต่างจากผู้หญิงอ่อนต่อโลกที่ยอมแอบเป็นเมียน้อยที่ทั้งน่าอับอายและผิดกฎหมายเพียงเพราะคำสัญยาของผู้ชายว่าจะเลิกกับเมียที่บ้าน   แต่ผ่านไปสองปีก็ไม่มีวี่แววว่าจะเลิก    ที่ผ่านมา เธออาจจะทุกข์ใจไม่แพ้กับคนที่ถูกแย่ง   ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ยังไงความรักก็ต้องชนะทุกสิ่ง  เป็นอาการเมียน้อยซินโดรมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงมากมาย    แต่จะมีสักกี่คนที่แอบกินลับหลังเมียเขาแล้วมีความสุขตลอดไปราวกับเจ้าหญิงในนิยายบ้าง ?

ถึงจะเลื่อนตำแหน่งมาเป็นภรรยาแทนคนเก่าแล้ว  แต่ลึกๆเธอก็ยังวิตกกังวลถึงพฤติกรรมของสามี   เมื่อได้ยินคำเตือนว่า Once A Cheater  ,Always A Cheater  ก็จนคำพูดที่จะต่อล้อต่อเถียงได้อีก      แม้ว่าความสาวสดในวัยยี่สิบและฐานะอันร่ำรวยจะบันดาลความสุขให้กับผู้ชายได้มากขนาดไหน     แต่เขาก็เคยเป็นคนที่ทรยศครอบครัวมาก่อน   จะมีใครที่กล้าไว้ใจผู้ชายแบบนี้ได้ 100%      และในที่สุด เธอก็ได้มาสัมผัสประสบการณ์ที่แสนทรมานใจที่หมอ Gemma เคยผ่านมาแล้ว    กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องตามไล่เช็คโทรศัพท์และสืบสาวหาหลักฐานการนอกใจของ Simon    เมื่อแน่ใจว่าถูกนอกใจจริงๆ  ก็ต้องมาทำใจยอมรับและให้อภัย ทั้งๆที่รู้สึกขยะแขยงและหวาดระแวงไม่หมดไม่สิ้น



ดาคยอง


เราเคยเห็นการวิเคราะห์พฤติกรรมการนอกใจว่า   บรรดาคนที่แอบเป็นชู้ชาวบ้านอาจจะมีปมในใจอะไรบางอย่าง พวกเค้าไม่ได้ใช้ตรรกะเหมือนคนทั่วไปในการหักห้ามใจตัวเองแล้วหาข้ออ้างทำเรื่องผิดศีลธรรม  เลือกที่จะหยิบแว่นตาสีกุหลาบมาใส่มองโลกที่งดงามที่มีแต่สองเราโดยเมินเฉยว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องทุกข์ใจกับการกระทำนี้     แต่ดูเหมือนว่า  ดาคยองไม่ได้เลือกเป็นเมียน้อยเพราะมีปมใดเลย    ทุกสิ่งในชีวิตของเธอดูสมบูรณ์แบบไปหมด เธอมีโอกาสมากมายที่จะเลือกผู้ชายโสดที่ไม่ใช่ปลิงดูดเลือดและไม่ทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก    แต่ชีวิตคุณหนูที่ถูกสปอยล์จนไม่รู้จักกับความผิดหวังอาจจะทำให้เธอคิดว่า ถ้าอยากได้อะไร ก็ต้องได้!      เธอเติบโตในครอบครัวที่ดูอบอุ่น มีพ่อแม่ที่ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี  แม้พ่อจะดูเข้มงวดอยู่บ้างแต่ก็ห่างไกลจากพ่อเผด็จการสไตล์ซีรีส์เกาหลี      ไม่ว่าลูกสาวจะพบเส้นทางใดที่ชอบ ก็จะสนับสนุนให้ถึงที่สุด   แต่พ่อก็คงไม่คาดคิดว่า  เส้นทางที่ลูกเลือกคือการเป็นมือที่  3 ของครอบครัวคนอื่น!


ความแตกต่างของ Kate และ ดาคยอง

นี่เป็นบทที่ทำให้นางเอกทั้งสองคนแจ้งเกิดอย่างเต็มที่ค่ะ Jodie มีผลงานมาตั้งแต่ยังเป็นวัยทีน แต่ก่อนที่จะปังสุดๆใน Killing Eve เธอเป็นที่รู้จักจากบทน้องเมียน้อยใน Doctor Foster นี่เอง ส่วนฮันโซฮี ก็ต้องบอกเลยว่าลู่ทางในวงการของเธอมีแววรุ่ง เพราะสวยถูกสเป็คคนเกาหลีซะขนาดนั้น แถมยังเป็นเมียน้อยที่สร้างความนิยมในกลุ่มแฟนๆอีกต่างหาก

เมื่อพูดถึงความแตกต่างของทั้งสองคนแล้ว เราพบว่า


- ดาคยองมั่นหน้ามากลูก จากตอนที่ลอยตาเล่าให้เมียหลวงฟังว่า คบกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ โดยที่หลงคิดไปว่า เมียหลวงยังไม่รู้ความจริง


" ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่แค่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว    เราคบกันมาสองปีแล้วและเขาก็รักชั้นมากๆเลยค่ะ   ถ้าไม่มั่นใจขนาดนี้    ชั้นไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอกค่ะ"



นี่คืออีกหนึ่งของอาการเมียน้อยซินโดรม เมื่อมือที่สามพยายามจะแสดงความมีตัวตนเพื่อความสะใจส่วนตัว เธอไม่แคร์ว่าฝ่ายเมียหลวงจะรู้ความจริงหรือไม่ แต่อาจจะคิดว่า ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว และยิ่งอีกฝ่ายได้รับรู้ว่ากำลังแชร์ผู้ชายกันอยู่ก็อาจจะยอมถอยให้พวกเค้ามี happy ending กันซะที
ยิ่งแย่งมาได้สำเร็จยิ่งมีชนักปักหลังว่า จะไม่มีวันยอมให้ครอบครัวตัวเองแตกแยกเหมือนตอนที่ตัวเองไปทำลายครอบครัวคนอื่น สำหรับดาคยอง แทโอมีค่าสำหรับเธอมากถึงขนาดกล้าขู่อดีตเมียหลวงว่าจะฟ้องเธอในข้อหาเป็นชู้ทีเดียว (เจอฉากนี้แล้วต้องร้อง คุณพระ! )


- Kate จะเหมือนอยู่ใช้ชีวิตใน bubble เธอเห็นแต่เรื่องดีๆของสามี แต่ถูกเมียเก่าใช้วิธีทางจิตวิทยาต้อนให้เห็นว่า ตัวตนของ Simon เลวร้ายแค่ไหน เธอพยายามหลอกตัวเอง เมื่อรู้ว่าสามีแอบไปแซ่บกับเมียเก่า เธอให้อภัยเขาอย่างรวดเร็วและยังออกตัวแรงเพื่อปกป้องเขาต่อหน้าพ่อแม่ เป็นเรื่องยากเย็นที่จะทำให้เธอตาสว่างขึ้นมาได้ สำหรับเราแล้ว Kate ไม่ได้สร้างความหมั่นไส้ให้กับผู้ชมมากมายนัก ตอนที่เธอเป็นเมียน้อย ก็ไม่ได้มีฉากเชือดเฉือนกับเมียหลวงเท่ากับเวอร์ชั่นเกาหลี      นอกจากฉากตบกลางดินเนอร์ในตำนาน ก็ถือได้ว่า Kate เป็นเมียน้อยที่ไม่ได้มีพิษสงอะไรมากนัก

Tom


"พ่อก็แค่ใช้ผมเพื่อแก้แค้นแม่"




"แม่เลือกงาน มากกว่าผม     แม่เอาแต่ยุ่งกับงาน เพราะไม่อยากจะอยู่ใกล้ผม"



"ผมทนพ่อแม่ไม่ไหวอีกแล้ว ดังนั้นผมจะไปซะและจะไม่กลับมาเจอแม่อีก"

น้องคือผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ toxic ในครอบครัว ในวัยที่เปราะบางราวกับกระจกใส Tom เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่แสนอบอุ่นเป็นเวลา 13 ปี แต่ก็ต้องพบกับจุดหักเหอย่างสุดโต่งโดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว จู่ๆ แม่ก็ประจานว่าพ่อนอกใจต่อหน้าต่อเขาและครอบครัวของชู้รักพ่อ  เมื่อพ่อแม่กลับมามีปากเสียงอย่างรุนแรงที่บ้าน  เขาก็ได้เห็นร่างที่ดูไร้สติของแม่กองบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ส่วนพ่อที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ใกล้ๆกโดยไม่ช่วยเหลืออะไร นอกจากยอมรับเสียงอ่อยๆว่า   นี่คือฝีมือความรุนแรงจากน้ำมือของเขาเอง

ชีวิตครอบครัวอันแสนสุขของ Tom จบสิ้นตั้งแต่วินาทีนั้น..


"ลูกชายก็เหมือนพ่อ"  คำพูดนี้อาจจะไม่ได้เป็นจริงเสมอไป  แต่ความสะเทือนใจจากความรุนแรงในครอบครัวได้เปลี่ยนตัวตนเด็กชายผู้สดใสไปอย่างสิ้นเชิง  เขาไม่ได้พบพ่ออีกเป็นปี  แต่เมื่อพ่อกลับเข้ามาในชีวิต  Tom ได้รับข้อมูลบางอย่างที่ทำให้เขาเลิกเชื่อใจแม่ และตัดความสัมพันธ์กับเธอไปอย่างไร้เยื่อใย     บาดแผลในใจของ Tom ลึกไปกว่าที่ทุกคนคาด  ไม่เพียงแต่จะกลายมาเป็นเด็กที่ก่อปัญหาใช้ความรุนแรงจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน      ยังมี twist ที่กระชากหัวใจผู้ชมนับล้านๆ  นั่นคือตอนที่เฉลยว่า Tom เคยฉิวเฉียดกับการก่ออาชญากรรมทางเพศเพียงนิดเดียว  และแทนที่พ่อแม่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เขาเลือกเส้นทางผิด   แต่ยังคอยจองเวรทำลายกันไม่จบไม่สิ้น     มันยากเหลือเกินที่เด็กวัยสับสนตัวเท่านี้จะรับมือกับความ toxic ได้อีก

คุณจะพบว่า  มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากครอบครัวนี้    พวกเค้าไม่เคยลดทิฐิเพื่อร่วมหาหนทางในการรอมชอมกัน   ละเลยการปิดใจถามไถ่ถึงต้นตอสาเหตุของความบาดหมาง  ขาดการร่วมมือกันก้าวต่อในฐานะครอบครัวที่ต้องหย่าร้าง    และทำให้ลูกยิ่งเก็บกดความในใจไว้    เมื่อพ่อพูดจาให้ร้ายแม่ด้วยความลับอันมืดมน   Tom ไม่เคยถามแม่ด้วยซ้ำว่ามันเป็นจริงหรือไม่  น้องกลับตัดความสัมพันธ์กับแม่และย้ายออกทันที   แต่เมื่อถูกพ่อผลักไสออกมาเพราะเลือกครอบครัวใหม่มากกว่า   ก็เกิดความรังเกียจพ่อที่หักหลังกันได้ง่ายดาย   บวกกับเหตุการณ์สุดช็อคที่ตามมาไม่จบไม่สิ้น  ทางเลือกของ Tom ในตอนจบนั้นตรงกับวัยรุ่นhomeless ในสังคม   พวกเค้ายอมลำบากออกเร่ร่อนยังดีกว่าต้องอยู่กับครอบครัวที่เต็มไปด้วยความทุกข์


จุนยอง


แฟนซีรีส์หลายคนใช้คำโจมตีแคแรคเตอร์นี้ว่า "เด็กผี" จากหนุ่มน้อยน่ารักที่อยู่ในโอวาทพ่อแม่เสมอ ก็ออกอาการเกรี้ยวกราดทำร้ายจิตใจแม่ หลายคนเรียกร้องให้น้องลุกขึ้นมาปกป้องแม่ซะบ้าง หรือไม่ก็ออกอาการรำคาญพฤติกรรมต่อต้านนี้

เดี๋ยวก่อนนะคะ    นี่คือเด็กวัยมัธยมต้นที่ต้องมาพัวพันกับสงครามประสาทของพ่อแม่     และถึงแม้ว่าหลังจากการหย่า จะใช้ชีวิตอยู่กับแม่สองคน และรับรู้ถึงความรักและห่วงใยจากแม่มาตลอด   แต่กลับถูกบีบให้เลือกข้าง  ในใจโหยหาพ่อที่รักผูกพันมาตั้งแต่เกิด  แต่ก็ต้องสับสนกับคำพูดของสองฝ่ายที่ย้อนแย้งกันเอง   น้องโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุความเดือดร้อน โทษพ่อแม่ที่ทำลายความเชื่อใจ     แล้วเลือกพึ่งพาจิตแพทย์มากกว่าพ่อแม่ที่แสดงออกว่ารักเขามากมายเหลือเกินแต่กลับขาดการสื่อสารที่ดี  ไม่มีใครยอมถอยหลังให้กันก่อน  คนที่รับกรรมไปมากที่สุดก็เห็นจะเป็นลูกนี่เอง


ความแตกต่างของ Tom และจุนยอง


หนุ่มน้อยที่กำลังหลงทางท่ามกลางสงครามแค้นของพ่อแม่ทั้งสองเวอร์ชั่นมีความคล้ายคลึงกัน  แต่จะมีบริบททางสังคมที่กำหนดพฤติกรรมจนมีข้อแตกต่างชัดเจน
 - twist ที่ช็อคคนดูทางอังกฤษมากที่สุด คือพฤติกรรม sexual abusive  ของ Tom   เราสัมผัสถึงความกล้าหาญของนักเขียนบทที่หยิบเอาด้านมืดของสังคมมานำเสนออย่างไม่เสแสร้ง    แม้มันจะเป็นประเด็นเปราะบางที่หลายคนไม่อยากยอมรับ   แต่มันเกิดขึ้นจริง   เฉพาะโลกออนไลน์  มีผู้หญิงมากมายได้เปิดเผยประสบการณ์ที่เคยถูกคนใกล้ตัวล่วงเกิน  และ abuser เหล่านั้นไม่ใช่แค่ผู้ชายวัยกลัดมันหรือเฒ่าหัวงูเสมอไป  แต่ยังมีเยาวชนที่มีอายุใกล้เคียงกับเหยื่อ  ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว  เด็กชายข้างบ้าน   เพื่อนชายคนสนิท   ที่บ้านเราเองก็มีข่าวที่แสลงใจผู้คนทำนองนี้ออกมาเรื่อยๆ

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า  นี่คือหนึ่งในเรื่องที่สั่นสะเทือนใจแฟนๆมากที่สุดใน Doctor Foster    แม้จะยังไม่มีการอธิบายถึงต้นเหตุของการกระทำอย่างชัดเจน  นอกจากความมึนเมา (ในวัย 15!)  แต่ผู้ชมหลายคนก็เชื่อมั่นว่า    ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวมีอิทธิพลอย่างสูงที่ทำให้น้องระบายความเกรี้ยวกราดออกมาเป็นพฤติกรรมที่บิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนี้    แม้เจ้าตัวจะรู้สึกผิดจนเป็นโรคนอนไม่หลับและโรควิตกกังวล  แต่ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขในสิ่งที่ทำลงไปได้   นำไปสู่จุดจบของเรื่องราวที่ไม่มีใครในเรื่องได้เจอกับความสุขเลยสักคน

- ฝั่งเกาหลีดำเนิน story line ขตามต้นฉบับแบบไม่กระโดดออกมามากเท่าใดนัก แต่เมื่อพูดถึงพฤติกรรมออกนอกลู่นอกทางของจุนยอง การนำเสนอปัญหา sexual assault ที่มีผู้กระทำเป็นเยาวชนอาจจะหมิ่นเหม่กับความรู้สึกของผู้ชมมากเกินไปจึงเปลี่ยนให้เป็นเรื่องการขโมยและทำลายทรัพย์สินคนอื่นแทน

- เรื่องหย่าเป็น taboo ของเกาหลีมากจริงๆ     โดยเฉพาะตัวแม่กับลูกที่จะถูกกดดันอย่างหนัก  แม่จะถูกครหาจากคนรอบข้าง รวมถึงที่ทำงานที่มองเธออย่างมีอคติและได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม   ส่วนตัวเด็กเอง ก็ยังต้องทุกข์ทนกับเสียงซุบซิบนินทาจากทั้งผู้ใหญ่และเด็กวัยเดียวกัน  ทั้งๆที่แค่เรื่องความขัดแย้งของพ่อแม่ก็หนักหนาสาหัสเกินพออยู่แล้ว    ท่าทางต่อต้านของจุนยอต่อต้านได้)     เมื่อนึกถึงตัวเราเอง หากอยู่ในวัยเดียวกับกับเด็กคนนี้แล้ว จะสามารถรับมือกับความเลวร้ายของความสัมพันธ์ toxic ของพ่อแม่และแรงกดดันของสังคมที่ซ้ำเติมเข้ามาได้รึเปล่านะ ?


การแต่งงานเป็นเพียงภาพมายาจริงหรือ ? การปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายและกฏเกณฑ์เรื่องผัวเดียวเมียเดียวอาจจะไม่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ผู้คนอีกมากมายก็ยังฝันใฝ่ถึงชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยความสุข แม้พวกเราจะรู้ดีว่า ไม่ว่าหญิงหรือชายหรือเพศใดก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องทนทุกข์จากความร้าวฉานหลังชีวิตแต่งงาน

ผลงานที่โดดเด่นทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ใช้เรื่องคาวโลกีย์มาสร้างกระแสเท่านั้น แต่สะท้อนสังคมให้ผู้ชมเรียนรู้ถึงผลพวงของปัญหาครอบครัวที่อาจนำไปสู่หายนะที่ยากจะแก้ไข บอกเลยว่าอินจัดทั้งสองเวอร์ชั่น และแอบรอ remake ผลงานเด่นๆเรื่องถัดไปแล้วค่ะ!




จบจ้า

Discussion (13)

เขียนสนุกมากค่า แต่สะกดคำ หรือ พิมพ์ให้ถูกจะได้อรรถรสในการอ่านมากกว่านี้ค่า
รอมาต่อจ้าาา