"วัตถุทางเพศชิ้นเอก" ขอความเห็นค่ะ

จากบล็อคใน exteen http://pastelsalad.exteen.com/20081220/entry





 

 

 

 

 

 

ยอมแล้วๆ ยอมแล้วจ้ะ 

 

หลังจากที่สบถสะบัดด่าทอดูถูกโฆษณาผลิตเสริมความงาม ทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายอย่างสนุกปากมานานแสนนาน

 

จากที่เห็นโฆษณาพอนด์สพิสูจน์รักแท้แล้วหัวเราะอย่างสนุกสนานไม่แพ้ดูรายการสาระแน


 พอนด์ส ผัวรักผัวหลง

 

 

จากที่ดูโฆษณา Asience ในรถไฟฟ้าแล้วมีประโยคติดปากเสมอว่า "กูว่าเอาเวลากับทรัพยากรไปเสริมความฉลาดดีกว่ามั้ง"

 

 
จวน จี ฮุน:"durrrrr...." ความโง่แบบเอเชีย

 

 

จากที่เวลาได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับหน้าตาหรือเครื่องแต่งกายของกลุ่มผู้หญิงที่นั่งใกล้ๆ ในรถโดยสารสาธารณะแล้วทำหน้า

 

 ใครเคยได้ยินกลุ่มผู้หญิงในรถเมล์คุยเรื่องสังคม ปรัชญา วิชาการ สถานการณ์โลกบ้าง

 

 

จากที่เวลาเห็นกลุ่มนักศึกษาหญิงที่แต่งตัวแรงๆ ในจุฬาเดินถือกระเป๋าที่ไม่น่าจะบรรจุสื่อการเรียนการสอนได้เลย แต่กระเป๋ากลับตุง ด้วยวัตถุลักษณะคล้ายตลับเครื่องสำอาง แล้วนึกเศร้าใจ

 

 
กระเป๋าพวกนี้ใส่ A4 ยังไม่ได้เลย แล้วในหัวพวกนี้ ใส่อะไรได้บ้าง
 
 
 
 
หลังจากเห็นรูปโปรไฟล์ Hi5, Facebook, Myspace ฯลฯ ที่เป็นพวกแอ๊บแบ๊ว หน้าใส ตาโตแล้ว กดแบน
 
 
 
สังเกตปากคนด้านขวาบน รู้มั้ยเอ่ยว่าปากแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงในสถานการณ์ไหน?
 
 
 
...ฯลฯ
 
 
 
 
 
 
 
แต่มาบัดนี้ ผมยอมแพ้ และยอมรับแล้วครับ
 
 
 
 
ผมยอมรับแล้วครับ ว่าความงามครองโลกจริงๆ 
 
ผมยอมรับแล้วว่า เวลาเดินสวนหรือเดินตามผู้หญิง ระหว่างผู้หญิงเฉิ่มๆ กับผู้หญิงสวยๆ เปรี้ยวๆ ผมจะสังเกตเห็นแต่คนหลัง
 
ว่าผู้หญิงคนเดียวกัน ตอนมีสิวเขรอะ หน้ามัน กับตอนหน้าใส เกลี้ยงกิ๊ง ผมจะรู้สึกดีกับตอนหลังมากกว่า
 
ว่าระหว่างเสื้อยืดตัวใหญ่ๆ โคร่งๆ แบบทรงผู้ชาย กับเสื้อเข้ารูป เอวคอด นมโป่ง ผมชอบผู้หญิงที่ใส่แบบหลังมากกว่า
 
ว่าเวลาเห็นนักศึกษาแต่งเอ็กซ์เซ็กซี่แล้วก็กระชุ่มกระชวยดี
 
ว่ารูปโปรไฟล์หน้าใสๆ แก้มพองๆ ตาโตๆ มันน่าดูกว่ารูปมืดๆ หน้ามันๆ หัวยุ่งๆ 
 
ว่าเวลาเห็นผู้หญิงผิวขาว อมชมพู เปล่งปลั่ง เป็นประกาย แล้วรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่มีรัศมีชวนหลงใหล
 
 
 
ฯลฯ
 
 
 
ผมยอมรับแล้วครับว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว ความงามเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด..
 
ในแง่ของความเป็นวัตถุทางเพศ
 
 
 
ไม่ครับ คนที่ผมจะเอามาเป็นแม่ของลูก ผมไม่เอาความงามมาเป็นเกณฑ์สำคัญหรอกครับ
และผมเชื่อว่าผู้ชายดีๆ อีกหลายคนก็คิดแบบเดียวกับผม
 
 
 
ดังนั้น
 
 
ความงามไม่ได้เพิ่มโอกาสพบรักแท้ แบบที่โฆษณาพอนด์สบอกหรอกนะครับ
 
 
...ความงามแค่เพิ่มโอกาสให้ได้ร่วมเพศเท่านั้นเอง...
 

 
 
 
 
 
 
 
ปล. ใครได้ดูโฆษณาพอนด์สชุดใหม่แล้วบ้าง ไอ้เคนกับโรสน่ะ 
ผมดูแล้ว ก็ยังหัวเราะลั่นเหมือนเดิม คราวนี้หนักกว่าเก่าอีก เอาละครน้ำเน่ามาเลย เหมาะสมกับระดับสติปัญญาของกลุ่มลูกค้าดีจริงๆ 
 


หลังจากได้รับ comment อย่างท่วมท้น (ทั้งด่าและชมเชย) จขบ. ก็ได้เขียน entry ขึ้นมาอีกอันหนึ่งว่า



มาว่ากันต่อเรื่องความงาม

posted on 22 Dec 2008 20:15 by pastelsalad  in BS

 

หลังจากโยนระเบิดลงไปกลางฝูงชนแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาเก็บกวาดกันซะที

 

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ผมเขียนเอนทรี่ที่แล้วด้วยความตั้งใจหลอกให้ด่าจริงๆ

จริงๆ แล้วผมสามารถใส่คำว่า บางคน บางส่วน ส่วนมาก ค่อนข้าง  ส่วนสำคัญ ส่วนหนึ่ง แง่หนึ่งในหลายๆ แง่ โดยส่วนตัวผมเห็นว่า ฯลฯ หรือยกตัวอย่างแย่ๆ ของทั้งสองเพศ เพื่อให้บทความทั้งหมดมีความถูกต้องแบบ politically correct เหมือนที่ผมใช้อยู่ประจำเวลาพูดถึงหัวข้อที่ล่อแหลมแบบนี้ เช่น เรื่องศาสนา ก็สามารถทำได้ แต่ทำแบบนั้นจะไปสนุกอะไรล่ะ 

 

ด้วยการล่อเป้าแบบนี้ นอกจากทำเพื่อให้คนเขียนโดนด่าเหมือนคนเป็นมาโซฯ แล้วยังจะได้อะไรอีก? (แน่นอน ไม่นับชื่อเสีย)

ผมได้เห็น reaction ของคนอ่านแต่ละคนครับ

 ไม่ใช่ respond นะ แต่เป็น reaction

 

ได้เห็นแล้วเอาไปทำอะไร

เอามาวิเคราะห์ครับ

 

หลังลองวิเคราะห์แล้ว ผมจัดประเภทของ reaction ได้สามแบบดังนี้ ลองดูซิว่าคุณอยู่กลุ่มไหน


 

1. เห็นด้วย กลุ่มคนที่เห็นด้วยนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ

 1.1 เห็นด้วย และ ตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  พวกนี้ส่วนมากคือ ผู้ชายที่รำคาญเรื่องพวกนี้เหมือนผม ซึ่งกลุ่มนี้ไม่น่าสนใจอะไรเท่าไหร่ในประเด็นนี้

 1.2 เห็นด้วย และ ตัวเองเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  เท่าที่ผมประเมิน กลุ่มนี้จะเป็นผู้หญิงที่มีลักษณะตรงข้ามหรือไม่เข้าข่ายการเดียวกับพวกที่ผมเขียน (ดูถูก) ถึง  ซึ่งจะหมายถึง ผู้หญิงที่ไม่สนใจเรื่องความสวยความงาม หรือ มีลักษณะพื้นฐานบางอย่างที่ไม่สวยงาม (พูดง่ายๆ คือเกิดมาไม่สวย) และไม่คิดจะแต่งเติมเพิ่ม  ซึ่งผมมีเรื่องอยากจะบอกในฐานะผู้ชายให้กับกลุ่มนี้ คือ

คุณควรจะใส่ใจในเรื่องความงามมากกว่านี้ครับ เพราะแม้ในสังคมที่ใช้สติปัญญานั้น ความงามจะไม่ใช่ประเด็นหลักในการดูคน แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ใช้ปัญญาตลอดเวลาครับ และเป็นความจริงที่ไม่ยุติธรรม (ธรรมชาติไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้ว) ว่าคนสวยคนหล่อนั้นจะได้รับการปฏิบัติด้วยดีกว่าคนอื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่งคุณก็น่าจะสังเกตเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในสังคมที่สื่อยุยงให้คนตีค่ากันที่ภายนอกอย่างเดียว (เพราะครีมบำรุงผิวมันใช้ง่ายกว่าธรรมมะหรือความรู้) ซึ่งการที่คุณได้รับการปฏิบัติเหมือนพลเมืองชั้นสองแบบนี้มีแต่จะเพิ่มความคับแค้นใจซะเปล่าๆ เพราะแม้เราจะมีหลักการแห่งคุณค่าภายในที่ยึดมั่นอยู่ในใจ แต่การที่เราถูกตีค่าให้ต่ำกว่าความเป็นตัวเราจริงๆ ทุกๆ วัน มันก็จะทำให้รู้สึกเศร้าลึกๆ ได้ และอาจจะกลายเป็นปมไป

แต่ผมไม่ได้บอกให้คุณเปลี่ยนตัวเองเป็นพวก สวย ใส ไร้สมองนะ แค่ใส่ใจดูแลตัวเองหน่อย อย่าไปแอนตี้เรื่องพวกนี้มาก ประเด็นสำคัญคืออยู่ที่การ พัฒนาบุคลิกตัวเอง ไม่ใช่ การพัฒนาความงามของตัวเอง คุณไม่ต้องใช้เครื่องประทินผิวมากมาย ทำผมตามแฟชั่น หรือแต่งตัวล่อตะเข้หรอก แค่ดูแลอย่าให้รูปร่างหน้าตาแสดงถึงความอมโรค หรือหมองหม่น ไว้ทรงผมที่เข้ากับรูปหน้า และแต่งตัวให้เหมาะกับรูปร่าง เข้ากับสถานที่และกาลเทศะก็พอแล้ว (ตามมหาลัยต่างประเทศ ผู้หญิงที่เรียนเก่งๆ จะแบกเป้กันนะ) ซึ่งผมก็เชื่อว่าคุณจะสามารถรักษาสมดุลตรงนี้ได้อยู่แล้ว

 


 

2. ไม่เห็นด้วย  กลุ่มนี้ก็แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เหมือนกัน

 2.1 ไม่เห็นด้วยเพราะหมั่นไส้ โดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่โดนดูถูก ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่เหมือนกัน (แต่ที่ผมอยากจะบอกกับกลุ่มนี้คือ "LOL")

2.2 ไม่เห็นด้วยเพราะตัวเองรู้สึกเหมือนโดนดูถูกไปด้วย โดยมากกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ไล่ตามความงามอยู่ โดยไม่รู้เหตุผลที่หนักแน่นชัดเจนว่า จะงามไปทำไม ซึ่งนั่นหมายรวมถึงการตามความงามด้วยความคิดที่ว่า "ผู้หญิงต้องคู่กับความงามสิ" ซึ่งเมื่อผมได้จี้เหตุผลของการเสริมความงามในแง่ที่ตีความออกไปทางลบได้แล้ว  กลุ่มนี้จะมี reaction ที่สังเกตได้บางอย่าง เช่น "คนที่ไม่ดูแลตัวเองเลยมีที่ไหน" "ผู้ชายก็มีโฆษณาแบบนั้นเหมือนกัน" หรือ "เธอมาดูถูกผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง" และมักจะตบท้ายด้วย "จขบ. อย่ากลืนน้ำลายนะ" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนที่ดูมวยอยู่ข้างสนาม (หมายถึงกลุ่มที่ไม่รู้สึกว่าโดนดูถูก) จะเห็นได้ว่า ความงามที่ผมยกตัวอย่างและได้ดูถูกไปทั้งหมดนั้น เป็นการดูแลและให้ค่าความงามตามกระแสอย่างเกินความจำเป็นโดยมองข้ามคุณค่าอย่างอื่นไป ทั้งนั้น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการหวีผม ทาแป้ง และไม่ได้ดูถูกผู้หญิงว่าเป็นเพศที่โง่เลย (เอ่อ อาจยกเว้นเรื่องคุยปรัชญาบนรถเมล์ ที่คนปกติก็ไม่คุยเรื่องแบบนี้บนรถเมล์อยู่แล้ว อันนี้ความผิดผมเองที่ไม่ได้ใส่คำว่า "ผู้หญิงแต่งตัวแรงๆ ลงไป") ซึ่งผมก็อยากจะบอกกับกลุ่มนี้ว่า

คุณกำลังถูกกระแสสื่อและการตลาดชักนำให้หลงไปกับความไม่เป็นแก่นสารครับ  จริงอยู่ว่ามันช่วยให้ชีวิตคุณสะดวกขึ้นบางอย่างในสังคมที่ไหลไปกับกระแสนี้ แต่มันไม่ช่วยให้คุณได้รับความนับถือจากใจจริงหรอกครับ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ความดี ความฉลาด มนุษยสัมพันธ์ อยู่ด้วย ความนับถือความงามจากผู้ชายนั้น ผมบอกได้ตรงๆ เลยว่า มีด้วยจุดประสงค์ทางเพศ 100% ไม่มีผู้ชายคนไหนคิดว่า รักเธอเพราะเธอช่างงามเหมือนเทพธิดา แสนจะน่าบูชาเทิดทูนหรอกครับ แรงขับมันมาจากเรื่องเพศทั้งนั้นแหละ แต่มันแฝงตัวแสดงออกมาได้หลากหลาย แล้วคุณต้องการผู้ชายที่เข้ามาหาคุณเพราะเรื่องเพศอย่างเดียวหรือ ถ้าใช่ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันต่อ แต่ถ้าไม่ ผมบอกได้ว่า คุณสมบัติอื่นๆ ที่ว่ามา จะเป็นตัวผูกมัดผู้ชายได้เอง สำหรับผู้ชายดีๆ แล้ว ความงามมันไม่สำคัญมากหรอกครับ ขอให้บุคลิกดูดีก็เพียงพอแล้ว

ส่วนถ้าคุณนำความงามมาเพิ่มความมั่นใจให้ตนเองแล้ว ผมบอกได้เลยว่า นั่นเป็นเพราะคุณใช้ความงามในการตีค่าคน เพราะด้วยโมเดลนี้ ความงาม = มีค่า = มั่นใจ ลองคิดดูดีๆ ว่าใช่หรือเปล่า ความงามอาจมีส่วนช่วยเพิ่มบุคลิก แต่บุคลิกไม่ใช่ความงาม ลองคิดดูให้ดีว่า ความมั่นใจของคุณที่เพิ่มขึ้น มาจากบุคลิกที่ดีหรือความงาม ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมแนะนำให้ลองเปลี่ยนมุมมองในการมองคนใหม่ดีกว่า

 


 

3. เห็นด้วยในบางประเด็น ไม่เห็นด้วยในบางประเด็น กลุ่มนี้มักจะตอบด้วยข้อความทำนองว่า "เห็นด้วยที่คุณว่ากระแสความงามเกินจำเป็นนั้นไม่ดี" ตามด้วย "แต่ความงามมันมีมากกว่านั้น" และตบท้ายว่า "วิธีการพูดของคุณไม่เหมาะ" ซึ่งนั่นหมายความว่า เข้าใจว่าผมต้องการสื่ออะไร และเข้าใจตัวเองเป็นอย่างดี (หรือผู้อื่นด้วย) ว่าทำไมจึงควรมีความงาม แต่ก็เห็นได้ว่า ผมสื่อไม่ถูก และไม่เหมาะสม ซึ่งถือว่าอ่าน (เกือบ) ขาด คุณไม่ได้ไล่ตามความงามตามกระแส แต่ก็เห็นความจำเป็นของการต้องรักษาความงามไว้บ้าง เพราะสังคมมันเป็นแบบนี้ (ถึงแม้จะไม่มองเหมือนผมว่าปฏิกริยาที่มีต่อความงามทั้งมวลมันมาจากแรงขับทางเพศก็เถอะ) แต่จุดหนึ่งที่บางคนในกลุ่มนี้ยังอ่านไม่ได้ คือ เข้าใจไปว่า ผมกล่าวหาคนที่เพิ่มความงาม ว่าต้องการเพิ่มโอกาสเรื่องเซ็กซ์ ทั้งที่ในความเป็นจริง ผมสื่อว่า การสร้างความงามเพิ่มนี้มันจะส่งผลอย่างมากก็เฉพาะในแง่ของเรื่องเพศเท่านั้นเอง แต่จะเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะบริบทมันพาไป

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่สามนี้เป็นกลุ่มที่ผมชอบมากที่สุด เพราะแสดงให้เห็นว่ายังมีคนที่รักษาความงามไปพร้อมๆ กับสมองอยู่บ้าง (ส่วนความดีผมคงวัดจากหน้าเว็บไม่ได้) ไม่เช่นนั้นสักวันบ้านเราคงเป็นแบบเรื่อง House Bunny

 

 

 
  (ยังไม่ได้ไปดู และไม่คิดจะดู ด่าไว้ก่อน)
 

 

 

 

 

ปล. (สำหรับกลุ่มที่ 2.1 โดยเฉพาะ) ใช่แล้วครับเอนทรี่นี้ผมเขียนขึ้นมาแก้ตัว อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย จริงๆ ผมแค่ต้องการดูถูกคนอื่นเท่านั้นเองครับ

 

ปล. (จริงๆ) ผมก็เคยใช้พอนด์ส แต่เลิกใช้ไปตั้งแต่มันเริ่มโฆษณาแบบนี้ มันทำลายสังคม เพราะฉะนั้น สนับสนุนพอนด์ส = สนับสนุน blood diamond

 

ปล. 2 ไม่มีปัญญาจัดย่อหน้าให้มันอ่านง่ายขึ้น ขออภัยด้วย
 



ต้องลองไปอ่านที่ blog ของเค้าเองค่ะ จะเห็นว่ามีคอมเม้นท์แรงๆอยู่หลายอันเลยทีเดียว เราเอามาให้อ่านเพราะอยากรู้ว่าสาวๆจะคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้ จะรูสึกว่าโดนดูถูกเหมือนเรามั้ย ขอบคุณค่ะ

 
 

Discussion (44)

เรื่องความงามมันมีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ทีเมื่อก่อน ผู้ชายเห็นว่าคนฟันดำน่ะสวย เขาก้อทาฟันดำกัน คนจีนต่างพากันมัดเท้า ห่อเท้า ให้เล็ก เพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าต้องการความสนใจจากผู้ชายหรอกหรือ ยุคสมัยมันเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยน แต่จุดประสงค์เหมือนเดิม ไม่แปลกหรอกที่ผู้หญิงจะแต่งตัวกันอย่างงั้น เพื่อให้ผู้ชายมอง ผู้ชายน่ะ เห็นผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศตั้งแต่ไหนแต่ไร จขบ. จะคิดอย่างงั้นมันก็ไม่ผิดหรอก
ไม่รู้สิ ส่วนตัวเราไม่เคยลงทุนกับความงามเป็นหลักพันบาทเลยซักครั้ง จะซื้อเครื่องสำอางหรือสิ่งประทินผิวจะต้องคำนวณความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปตลอดเพราะมันฉาบฉวยมาก เหมือนกับคำที่พระท่านว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแต่ความดีสิคงทน แม้ตัวจะตายไปแล้วก็ตาม ผู้คนก็แซ่ซ้องสรรเสริญไม่สิ้นสุด ปล. เราชอบฟังเพลงมาก ส่วนใหญ่เป็นเพลงสากล เวลาว่างจะไปซื้อCDมาฟังตลอด ซื้ออย่างต่ำ3แผ่นต่อครั้ง แต่เราคิดว่ามันคุ้มค่านะดนตรีถือเป็นสิ่งแสดงซึ่งความเป็นอารยธรรม คนรุ่นลูกรุ่นหลานค้นเจอCDของเราแล้วเอามาฟังต่อก็ถือเป็นการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมไปในตัว

อ่านะ พฤติกรรม ของคนที่เรียกว่าผุ้ชาย หุหุ 

ผู้ชายยังไง๊ ยังไง ก็ไม่ชอบผุ้หญิงด้วยนิสัยก่อนแน่ๆ

หายาก เอิ๊กๆ

เราค่อนข้างเห็นด้วยกับบทความนะคะ เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็หน้าตาเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนๆกัน ตามกันเป็นกระแส เราก็เป็นคนนึงที่ไม่สวย แต่เราอยากดูดี อยากสวย แต่ไม่ใช่ เหมือนกันยังกับออกมาจากนิตยสาร หรือเลียนแบบใคร เราก็ต้องดูดีในแบบของเราเอง ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่มักมองความสวยงาม และผู้ชายมักมองผู้หญิงสวย แต่ ผู้หญิงไม่สวยไม่แต่งตัวก็ไม่ใช่มัดใจใครไม่ได้ อย่างแม่เราก็ไม่แต่งตัว พ่อเราก็ยังคงอยู่ดี ไม่เห็นจะมีเมียน้อย อาจดูแลครอบครัวดีกว่า คนที่มีเมียสวยๆด้วยซ้ำ ดั้งนั้นก็ไม่ควรบอกว่าผู้ชายชอบของสวยเราเลยต้องแต่งตัว มันน่าจะเป็นความไม่พอ หรือนิสัยของญ หรือช มากกว่าที่ทำให้ผู้ชายไม่อยู่ด้วย ไม่เกี่ยวกับความสวยภายนอกค่ะ เกี่ยวกับความงามภายใน มากกว่า



ปรบมือให้กับ คห. 15 ของป้าวุ้นเส้น