ประสบการณ์ไฟไหม้ที่ต้องอ่าน!!

ได้รับมาจาก FWD MAIL ค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าต้องมาแบ่งปัน

*ถ้าอ่านแล้วก็ขออภัยนะคะ



 

 

เรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง

 

เมื่อวานนี้เราโทรศัพท์คุยกันเรื่องไฟไหม้ที่ ซานติก้า ผับ

 

ขออนุญาตเล่าเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับเพื่อนที่เข้ามาอ่านครับ

 

 

 

ปีใหม่ที่ผ่านมาผมไปโคราชมาจึงไม่ได้อยู่เค้าน์ดาวน์กับเพื่อนสนิทคนนี้

 

 

 

และเมื่อวานผมก็ต้องกลับมาทำงานตามปกติ  เลยมีเวลาแค่โทรคุยกัน

 

บทสนทนาที่ทั่วไปผมขอตัดออกไปนะครับ  แต่ส่วนมากเราจะคุยกันเรื่องซานติก้า ที่ไฟไหม้

 

 

 

เอก : ทำไมแกดูติดใจกับเรื่องนี้จังอ่ะ

 

ผม : ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก ฉันว่ามันอยู่ใกล้ตัวเรามากเลยนะ แล้วถ้าวันหนึ่งมันเกิดกับเราหล่ะ

 

เอก : ถ้าเป็นฉัน  ฉันคนจมกองเพลิงตายอยู่ในนั้นหน่ะแหล่ะ ไม่รอด

 

ผม : แต่ถ้าเป็นฉันนะ  ฉันจะท่องไว้จนนาทีสุดท้ายจนกว่าจะหมดลมหายใจเลยว่า  ต้องรอด

 

เอก : แล้วถ้ามันไม่มีทางจะรอดล่ะ....?

 

 

 

จากนั้นเราก็พูดคุยกันถึงข่าวต่างๆ รวมถึงวิธีเอาตัวรอดขณะเกิดเพลิงไหม้

 

บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น  บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้มาให้เพื่อนฟัง

 

ไม่ว่าจะเป็นอย่าแตกตื่น  หาผ้าชุบน้ำปิดจมูก  หมอบต่ำ  อย่าวิ่งกรูตามคนไปให้นึกให้ออก

 

ว่าทางไหนพอจะหนีออกมาด้านนอกได้  คุยกันเกือบชั่วโมง หมดช่วงพักผมก็ไปทำงานของผมต่อ

 

 

 

เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างปี งานที่บริษัทจึงเยอะมาก เมื่อวานผมกลับบ้านเกือบห้าทุ่ม

 

ช่วงสามทุ่ม  เอกโทรหาผม  แต่ผมมั่วแต่ง่วนเดินไปเดินมาอยู่กับงานเลยไม่ได้ยิน

 

พอมาเห็นมิสคอล ก็ไม่คิดจะโทรกลับเพราะคิดว่าเลิกงานค่อยโทรกลับไปแล้วกัน

 

 

 

ประมาณเกือบๆ สี่ทุ่มมาเห็นมิสคอลเอกอีกครั้ง ผมก็ยังไม่โทรกลับเพราะเร่งจะทำงานให้เสร็จ

 

จะได้รีบๆ กลับบ้านพักผ่อน  จนสี่ทุ่มครึ่งกำลังจะออกไปขับรถกลับบ้านแม่ก็โทรเข้ามา

 

 

 

แม่ : นี่ๆ ตะกี๊เอกโทรมาหา  ถามว่าเราอยู่ใกล้ๆ แม่หรือเปล่า แม่บอกว่าเรายังไม่กลับจากที่ทำงาน

 

ผม : อ้าวหรอ  มันมีอะไรหล่ะ เห็นโทรมาเหมือนกัน แต่พอดียุ่งๆ อยู่

 

แม่ : ไม่รู้เหมือนกัน แม่ไม่ได้ถาม แต่เสียงเจี๊ยวไปหมด  เที่ยวอยู่ที่ไหนสักที่ละมั้ง

 

 

 

เราเองก็แอบนึกในใจว่าสงสัยชวนไปหานั่งกินไรอีกละมั้ง  พอสตาร์ทรถเปิดวิทยุฟัง

 

ได้ยินข่าว เสือป่า พลาซ่าไฟไหม้  ก็นึกในใจว่าเอาอีกแล้ว ปีนี้มันปีอะไรนักหนาเนี่ย

 

จน อาร์ท เพื่อนสนิทอีกคนโทรเข้ามา

 

 

 

อาร์ท : โทรหาเอกยัง

 

ผม : ยังว่ะ มีไร

 

อาร์ท : แก  มันติดอยู่ในตึกที่ไฟไหม้อ่ะที่ข่าวออกตอนนี้  จำซาวน่าที่่มันชอบไปได้ป่าว

 

ผม : หา อะไรอ่ะ  ซาวน่ามันอยู่ในตึกนั้นหรอ

 

อาร์ท : เออ  ตะกี๊มันโทรมาหาฉันบอกว่าติดอยู่ในนั้นออกไม่ได้

 

 

 

ผมเริ่มร้อนใจ  รีบกดโทรศัพท์หาเอก

 

 

 

รอบแรกไม่รับสาย

 

รอบที่สองไม่รับสาย

 

จนกดรอบที่สามนั่นแหล่ะ ถึงได้รับ

 

 

 

ผม : เฮ้ย  เป็นไงมั่ง

 

เอก : ทำไม meung ไม่รับสาย ku ( เสียงสั่นๆ )

 

ผม : โทษว่ะ งานยุ่งมากเลย เป็นยังไงมั่ง

 

เอก : (ร้องไห้) ku นึกว่า ku จะไม่รอดออกมาหาพวก meung แล้ว ku นึกถึง meung มากเลยนะ

 

ทำไมไม่รับสาย ku  kuนึกว่าจะตายอยู่ในนั้นแล้ว

 

 

 

นี่รอกระเช้าอยู่กะลังจะปีนลง เดี๋ยวลงไปได้จะโทรหาอีกทีนะ รับสาย ku ด้วย !!!

 

 

 

หลังจากเอกลงมาได้ และพอตั้งสติได้ก็โทรกลับมาหาผม  เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังว่า

 

ตอนมันกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากซาวน่า ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไฟไหม้ๆ

 

 

 

ซึ่งอาคารเสือป่าพลาซ่า

 

มีทั้งหมด 10 ชั้น   ชั้น 1,2,3 เป็นส่วนของขายมือถือ  ชั้น 4,5,6  เป็น เกสเฮาท์

 

 

 

ชั้น 7,8,9 เป็นซาวน่าและนวดแผนไทย    ที่จริงไฟเริ่มไหม้ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ

 

 

 

แต่เอกบอกว่าชั้น 7 ส่วนของล็อคเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเพิ่งโวยวายกันตอนสองทุ่มกว่าๆ

 

มันเลยรีบเก็บทรัพย์สิน โทรศัพท์ วิ่งลงมาด้านล่าง  ตอนนั้นมันบอกว่าควันเริ่มหนามาก

 

 

 

และเป็นควันของพลาสติกไหม้(กรอบมือถือ)  เริ่มสำลักควัน

 

 

 

พอลงมาถึงชั้น 4 ก็วิ่งลงมาต่อไม่ไหวแล้ว  ก็เลยวิ่งย้อนกลับขึ้นมา

 

มันรีบกดโทรศัพท์หาผม  เพราะคิดว่าผมจะให้คำแนะนำอะไรมันได้บ้าง

 

 

 

(เขียนมาถึงตรงนี้รู้สึกผิดจัง)

 

พอผมไม่รับสายมันก็นึกถึงคำที่ผมบอกว่าต้องรอดสิ ถ้าคิดจะรอด

 

 

 

มันเลยวิ่งกลับขึ้นมาที่ชั้น 7

 

คว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วจุ่มน้ำอดจมูกแล้วยืนนิ่งๆ คิดต่อว่าจะเอายังไงดี

 

 

 

ระหว่างนั้นมันบอกว่าคนวิ่งกันอลหม่านมาก  ชนกันล้มก็มี

 

 

 

มันตัดสินใจวิ่งขึ้นชั้น 8-9-10 แล้วปีนขึ้นมาบนดาดฟ้า

 

ช่วงที่มันมาถึงบนดาดฟ้ามีคนอยู่ด้านบนแล้วสิบกว่าคน

 

 

 

ทุกคนดีมาก ช่วยกันดึงกันขึ้นไป หลายคนร้องไห้

 

มีผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว  มันเลยถอดเสื้อให้เขาใส่

 

 

 

หันไปอีกด้านมีผุ้ชายคนหนึ่งใส่ กกน. ตัวเดียว

 

ถอดผ้าขนหนูมาอุดจมูกมันก็เลยถอดกางเกงยีนส์ให้เขา ตัวมันเองใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียว

 

 

 

ช่วงที่นั่งรอการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อยู่บนดาดฟ้า มันก็พยายามกดโทรศัพท์หาผมอีกรอบหนึ่ง

 

(บาปอีกแล้วผม)  มันบอกว่าในใจก็คิดแค่ว่าจะรอดไหม จะรอดไหม

 

 

 

พยายามอยู่นิ่งๆ รอการช่วยเหลือ

 

ดีกว่าลงไปวิ่งเป็นหนูติดจั่นสำลักควันอยู่ด้านล่าง

 

 

 

ดาดฟ้าที่มันปีนขึ้นไปด้านบนอีกทีหนึ่งเป็นเพลิงๆ เริ่มสั่น

 

เหมือนจะรับน้ำหนักเอาไว้ไม่อยู่  ติด่อยู่บนนั้นเป็นชั่วโมง  คนข้างบนเริ่มสำลักควัน

 

มันเลยตัดสินใจวิ่ง่ลงมาเพื่อเอาผ้าชุบน้ำอีกครั้ง  ระหว่างนั้นน้ำประปาเริ่มไหม่ไหลแล้วครับ

 

มันก็เลยวิ่งไปที่ตู้ปลาแล้วเอาผ้าจุ่มลงไปในตู้ปลา แล้ววิ่งกลับขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกครั้ง

 

 

 

โชคดีที่เอกอยู่กับกลุ่มคนที่ส่วนมากมีสติ  หลายคนพยายามโทรติดต่อเจ้าหน้าที่

 

คนติดอยู่บนดาดฟ้านับสิบแต่กระเช้าที่ขึ้นมาช่วยสามารถลงได้เพียงทีละคนสองคน

 

ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงผูกเชื อกให้ผู้ประสบเหตุไต่ตามเชือก ปีนลัดเลาะไปยังตึกใกล้เคียง

 

เอกบอกว่ามืดและควันเยอะมากจนมองไม่เห็นอะไร  อาศัยจับเชือกแล้วเดินไต่ไปอย่างเดียว

 

ระหว่างที่มันไต่ลงมา  หม้อแปลงไฟฟ้าแถวนั้นก็ดันระเบิด

 

 

 

มันบอกว่าช่วงที่ปีนขึ้นปีนลง มันล้มตกลงมาหลายครั้ง

 

และเจ้าหน้าที่ให้มันลงมาได้เป็นคนสุดท้ายเพราะหม้อไฟมาระเบิดตอนที่มันกำลังลงพอดี

 

คนต่อไปเลยไม่ได้ลงเพราะเจ้าหน้าที่เกรงว่าจ ะอันตราย

 

 

 

พอรอดลงมาได้มันร้องไห้โทรคุยกับผม  กว่าจะตั้งสติได้ก็หลายนาทีอยู่

 

ผู้คนที่ไม่รู้จักกันกอดกันร้องไห้  วันนี้มันเลยต้องลางาน  อาเจียนออกมาเป็นสีเทาดำ

 

คงเป็นเขม่าควันที่สูดเข้าไปตอนกำลังหาทางหนี

 

 

 

ผมดีใจที่เพื่อนผมรอดมาได้

 

อยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์กับเพื ่อนในบอร์ดว่า

 

 

 

สิ่งที่เราไม่คาดคิดไม่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเราหรือคนที่เรารัก

 

 

 

ถ้าเอกไม่รอดผมคงเสียใจไปทั้งชีวิต  แม้แต่นาทีเป็นนาทีตาย เพื่อนยังนึกถึงเรา

 

เพื่อนอยากคุยกับเราและหวังเราเป็นที่พึ่งคนหนึ่ง

 

 

 

วันนี้ผมนั่งนึกเล่นๆ ถ้ามันไม่รอด แค่นึกผมก็น้ำตาไหลแล้ว

 

ผมคงต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตไป

 

 

 

ขอให้เรื่องทีเป็นตัวอย่างกับหลายๆ คน  ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับผมโดยตรง

 

แต่ขอให้เพื่อนๆ จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท

 

 

 

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้เราตั้งสติให้ได้และมีสติ

 

ไม่ว่าจะเป็นภัยด้านใด ไฟไหม้ รถชน ตกน้ำ หรืออะไรก็ตามขอให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ

 

 

 

สำหรับผม  ต่อไปนี้ผมจะเอาโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา

 

จะรับทุกสาย ถ้ารับไม่ได้จะรีบติดต่อกลับให้เร็วที่สุดโดยจะไม่คิดแค่ว่า "คงไม่มีอะไร" อีกแล้ว

 

เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรารักและรักเรา

 

 

 

สุดท้ายนี้ขอให้ปีใหม่นี้คุณพระคุณเจ้า คุ้มครองเพื่อนในบอร์ดทุกคนให้ปลอดภัย

 

 

 

และมีแต่ความสุขนะครับ

 

 

 

ด้วยรัก...




อ่านแล้วใจไม่ดี ของแบบนี้เกิดขึ้นกันได้กับทุกคนจริงๆ

ต่อไปคงต้องรับดทรศัพท์บ้างแล้วค่ะ แหะๆ

Discussion (31)

ขอนำไปForwardเตือนสติเพื่อน ๆ นะค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าความตายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเราจิง ๆ
ดีใจที่คุณนำเรื่องนี้เล่านะ เพราะ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ถ้าคิดว่ายังมีค่าก็อย่าได้ประมาทแม้แต่นาทีเดียว

เศร้าอ่ะ แต่ก้อดีใจที่คุณ เอก รอดมาได้ค่ะ

ดีมากๆๆๆค่ะ ขอบคุณที่มาเล่าสู่กันฟัง
รู้สึกดีมากเลย ดีใจด้วยที่เพื่อนเขารอดชีวิตมาได้นะคะ
ใครที่ชอบเป็นมือวาง คือมีมือถือแต่วางไว้ (ไกลตัว)  ส่วนมากพวกป้าๆนี่แหละ


เป็นเรื่องดีที่ได้อ่านค่ะ ขอบคุณมาก

ปกติป้าจะเปิดมือถือไว้ตลอด 24 เผื่อฉุกเฉิน

แต่ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้านนี่ไม่บอกเบอร์ใครเลย มีแค่แม่เท่านั้น

บอกแม่ไว้ว่า ถ้ามีอะไรจริง ๆ แล้วค่อยโทรเข้าบ้านนะ

วันนึงมีเสียงโทรเข้าบ้าน  ตกใจ ใจสั่นมากตอนรับโทรศัพท์ สรุปว่าโทรผิด 

เออ โล่งอก