มาร์สหน้าแอสไพริน

ตามหัวข้อนะคะ แอสไพริน บดผสมน้ำผึ้ง ลองแล้วค่ะ ได้ผลว่าหน้าเนียนนุ่ม และลดความมันบนใบหน้าชั้นเทพ  พอมาร์สเสร็จ ล้างหน้า นอน ตื่นขึ้นมาไม่มีน้ำมันเรย ปลื้ม ปกติ ถ้ามาร์สหน้าอื่นๆ ตื่นมาเนี้ย โห เยิ้มค่ะ แต่ แอสไพริน  เยี่ยมยุทธจ้า ผลข้างเคียงอื่นๆ ไม่แน่ใจ นะคะ กำลังทดลองและสังเกต first post นะคะ ขออภัยมือใหม่หัด post จ้า 

Discussion (12)

เคยจะลองทำเหมือนกันค่ะ แต่พอดีไปเจอ หมอแมวก่อนเลยพับไปเหมือนกัน
ลองครั้งเดียวแล้วแพ้เลยพับโครงการไปถาวรค่ะ

อ่านบทความข้างบนแล้วแอบตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนั้น

ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันแสดงความคิดเห็น จ้า
 

^
^
อ่านแล้ว สยองขึ้นมาทันใด
เคยอยากลองเหมือนกันค่ะ แต่พอดีไปเจอบทความที่เค้าเตือนๆกันในพันทิพ
เลยยังกล้าๆกลัวๆ จริงๆทำได้ แต่เค้าไม่ให้ทำบ่อยๆนะคะ เคยได้ยินว่า ซํก 2 อาทิตย์/1 ครั้ง
ก็จะไม่เป็นอันตรายค่ะ ขอยกบทความจากห้องเครื่องแป้งมาให้อ่านกันนะคะ



แอสไพรินกับการรักษาสิว -=Byหมอแมว=-

เมื่อไม่นานมานี้ กระแสการรักษาความงามในinternet ได้มีแนวทางการรักษาสิว
แบบใหม่(จริงๆเก่า) ออกมา นั่นคือ การรักษาสิวด้วยการใช้ยา"แอสไพริน"
แอสไพริน ยาที่ทางการ แพทย์ ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและกินป้องกันเส้น
เลือดหัวใจอุดตันเม็ดละ50สต.แหละครับ

ปัญหาที่เกิดตามมาคือ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก
บางครั้งทำให้มันดูลึกลับ ดูเหมือนกับเป็นการรักษาแบบใหม่
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ แต่มันเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วในวงการ ความงาม
เพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างที่ใน internet เล่า

อีกปัญหานึงคือในการรักษาแบบ"มหัศจรรย์ราคาถูก" ใน internet ไม่ได้บอกที่
มาที่ไป และเล่าแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว .ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะต้องเอาความรู้
เรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง

ปัญหาเรื่องสิว เป็นปัญหาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้เจอ สาเหตุหลักๆของสิว มีอยู่
สองสามอย่างได้แก่
1. การติดเชื้อ(โดยเฉพาะเชื้อ P. acne) 2. รูขุมขนอุดตัน 3. ฮอร์โมน
ดังนั้น เวลาคุณไปรักษาที่คลินิกความงาม คุณมักจะได้ยา3-4พวกได้แก่

- กลุ่มยาฆ่าเชื้อ
ที่เจอบ่อยๆ ClindaM หรือยา Clindamycin ... บางคนก็จะได้ยาพวก
Doxycyclineมากิน .... โดยทั่วไปแล้วทางสถานเสริมความงามจะจ่ายยาที่เป็น
Broad spectrum antibiotic หรือยา ฆ่า เชื้อที่ออกฤทธิ์กว้างขวาง ฆ่า เชื้อได้
สัพเพเหระ

- กลุ่มผลัดเซลล์ผิว
เช่น Retin A เร่งให้เซลล์เก่าถูกผลัดไป เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
- กลุ่มกัดเซลล์ผิวเก่า (แก้รูขุมขนตัน)
เช่น BHA, AHA, Benzoyl Peroxide พวกนี้จะไปกัดเอาผิวที่ตายแล้วออกไป
ทำให้ผิวอ่อนๆข้างล่างเด่นขึ้น รวมทั้งกันไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

- กลุ่มฮอร์โมน
เช่นยาคุม (ซึ่งถ้าจะให้บอก ผมไม่มีความรู้ทางด้านยาคุมกับการรักษาสิวเลย
ครับ)

ซึ่งหลายคนไม่อยากเสียเงินกับการรักษาพวกนี้ ก็จะมีวิธีที่ใช้กันมานานนมแล้ว
คือ ฝานผลไม้แปะหน้าเช่นแตงกวา ส้ม มะนาว ..... บางคนไปพลิกดูส่วนผสมที่
หลังขวด ยารักษา สิว ไปเห็นว่ามีsalicylic acid หรือ aspirin ก็ลองเอามา
ทดลองดู

ซึ่งความจริงแล้วกลุ่มยาที่มีส่วนทำให้ผิวหน้าดูดีพวกนี้ก็มี BHA AHAครับ
AHA เป็นพวกกรดกลุ่มต่างๆ เช่น
Malic acid กรดในแอปเปิ้ล
Citric กรดที่เจอในพวกกลุ่มผลไม้ซิตรัส เช่นส้มมะนาว
Tartaric acid กรดที่มีในองุ่น และ กล้วย
Lactic acid กรดที่ได้จากพวกนมเปรี้ยว (555)
... มันมีอีกตัวสองตัว ลืมไปแล้ว
BHA มีตัวเดียวคือ salicylic acid

ในทางการ แพทย์ เราใช้สารกลุ่มนี้ในการรักษาหน้า ซึ่งสรรพคุณของมันคือ
การทะลวงเข้าไปในชั้นผิวหนังส่วนบนหรือที่เรียกว่า Epidermis
จากนั้นก็จัดการกัดทำลายและทำให้มันหลุดออกจากกัน
เรียกง่ายๆว่าเป็นการขัดขี้ไคลโดยไม่ต้องออกแรง ใช้น้ำยาไปกัด
ในทางการ แพทย์ ก็มีการใช้สารพวก AHA BHA และกรดบางชนิดในการทำ
ความสะอาดผิวหน้า

สูตรความงามของคนทั่วโลก ก็มีการเอาผลไม้ต่างๆมาฝานตัดแปะหน้า
แตงกวา มะนาว ส้ม กล้วย Fruit salad นมเปรี้ยว บัวหิมะ ฯลฯ .... ซึ่งทั้งหลาย
ทั้งปวงนี้ส่วนหนึ่งมันก็คือ AHA ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติจะมีอยู่ในปริมาณ
ความเข้มข้นที่ต่ำจนใช้ได้ปลอดภัยไม่ทำลายผิวหน้า

สำหรับการใช้ salisylic acid ก็มีการใช้มานานแล้วครับ อยู่ในสูตรยาของร้าน
เสริมความงามทั่วไปและคลินิกความงาม บางทีเหนือกว่าaha เรื่องความระคาย
เคือง เพราะว่ามันเป็นยาลดอาการอักเสบด้วย เวลาใช้จะรู้สึกว่าไม่กัดมาก

สรุปข้อแรก

********* การใช้ยาแอสไพริน จึงได้ผลจริง ************

แต่ รู้ไหมครับ ทำไมเราไม่ใช้กันบ่อย
สารพวกนี้ เป็นสารควบคุม พวกกลุ่มสารที่ทำหน้าเด้ง เบบี้เฟส AHA
จะมีการควบคุมการนำเข้า ...แต่สำหรับ BHA คุมยากจนถึงคุมไม่ได้
เพราะว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ
และเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้ ปวดตัวนึง

ถามว่าทำไมต้องคุม
เพราะถ้าใช้ไม่เป็นหน้าจะพัง

สารพวกนี้ ตอนใช้แรกๆจะได้ผลดีมาก ใช้ปุ๊บมันจะทะลวงเข้าไปกำจัดขี้ไคลที่
หมักหมมจำนวนมากจากหน้า วันแรกที่ใช้จะรู้สึกหน้าเด้งตึง หลังจากนั้นไม่มี
ขี้ไคลแล้ว ก็จะรู้สึกพอๆเดิม

แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานไป หรือผสมผิดสูตรเข้มเกิน หรือทาทิ้งไว้นานเกินไป
มันจะกัดหน้าครับ แทนที่จะกัดขี้ไคล มันจะกัดหน้าเนียนๆเข้าไปด้วย
อย่างเบาะๆก็ตึงเจ็บอักเสบ
ถ้าโชคไม่ดี กัดจนหน้าเป็นรอยด่างขาว vitiligo เป็น
อันจบเห่ เพราะถ้าเกิดด่างขาวขึ้นก็คือกัดเข้าถึงชั้น dermis ส่วน melanocyte
หรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว .... กว่าจะหายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี
ปัญหา นี้จะไม่ค่อยพบใน เครื่องสำอางค์ เพราะว่าส่วนผสมเขาศึกษามาแล้ว ความเข้มข้นก็ไม่ค่อยสูง และก็มีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างแน่นอนระบุไว้

สรุปข้อสอง
***************** ถ้าผสมผิดหรือใช้ไม่ถูกวิธี หน้าพัง Chipหายวายป่วง ************

โดยสรุปแล้วสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารพิเศษอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราใน
ปัจจุบัน ไม่ว่าจะAHAซึ่งมีในผลไม้และอาหารทั่วไป หรือจะเป็นBHAซึ่งก็หา ซื้อ
ได้ในราคาถูก เพียงแต่ว่าการจะนำมาใช้ใน เครื่องสำอางค์ หรือเวชสำอางค์
ได้รับการค้นคว้าวิจัยปรับปรุงความเข้มข้นและศึกษาการดูดซึมและมีการใช้ที่
แน่นอน ... ซึ่งผลก็คือ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย

ดังนั้นอ่านแล้วขอให้นำไปตรึกตรองครับ ถ้าอยากสวยอยากงาม
ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่อาจจะแพงสักหน่อย
แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินมาก แต่หวังผลมากอย่างเช่นการใช้แอสไพริน
ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

credit : http://mor-maew.exteen.com/20090124/by






เป็นห่วงสาวๆจีบันทุกท่านนะค่ะ จะใช้อะไรก็ควรจะอ่านผลดีผลเสีย และศึกษาให้ละเอียดก่อน
บทความนี้จริงเท็จแค่ไหน เราก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่อยากให้เสี่ยง เพราะผลลับถ้าหากมันเป็นอย่างบทความ หน้าพังเสียหายมิใช่น้อยนะเออ ="=