Updated! Skincare routine for 28 เพิ่งเข้า 28 แปบเดียว แต่กลายเป็นว่าจะหมดปีละ

สวัสดีค่ะ กลับมารอบนี้มากับอายุที่จะ 30 และแน่นอนว่าการดูแลผิวหน้าก็มีอะไรเพิ่มขึ้น เผลอๆมีบางตัวที่ยังใช้เหมือนเดิมอีกต่างหาก อยู่ที่นี่ทางนี้ก็ redeem birthday deal เยอะมาก วันนั้นแทบจะอิ่มจังตังอยู่ครบ แถมยังได้คสอใหม่ๆมาลองเล่นอีกด้วย
สกินแคร์รอบนี้มีไม่กี่ตัวที่เพิ่งใช้ก็ยังไม่สามารถบอกอะไรได้มาก แต่ซื้อมาเพราะราคาจริงๆ แต่คิดๆแล้วนี่เราลงเงินกับสกินแคร์มากกว่าเมคอัพแล้วล่าสุด แต่ยังไม่เคยทำโบทอกซ์นะคะ ถ้ามีโอกาสพิเศษเช่นแต่งงาน เนี่ยแหละจะรีบทำทันทีเลย ได้แต่รอว่า เมื่อไหร่ เมื่อไหร่จะตาเราเนี่ย
โดยรวมตรงนี้ราคาน่ารักเยอะมากๆ สามารถหาซื้อกันได้แน่นอน 
เริ่มด้วยน้องโทนเนอร์ตัวนี้ จริงๆไม่กล้ารีวิวขนาดนั้น เพราะแทบไม่ค่อยได้ใช้เลย จะหยิบมาทีก็ต่อเมื่อจำได้เนี่ยแหละ เป็นตัวผลักเซลล์ผิวที่อ่อนโยนด้วย หลังๆจะพยายามใช้ให้หมดเพราะอยากลองตัวอื่น แหะ แต่มันก็ไม่ทำให้แสบหน้านะ เหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย หรือไม่มีอะไรมาก ใช้ได้ทุกวันเรื่อยๆ ไม่เหมาะกับฟีลที่หน้ามีสิวมีรอยละอยากได้แบบฉับพลันคอร์สเจ้าสาวอะไรแบบนั้น ขวดใหญ่ใช้คุ้ม ราคาตัวนี้จำไม่ได้เลย คิดว่าน่าจะประมาณ 50-60AUD ก็ถือว่าคุ้มอยู่ กับปริมาณที่ได้
ตัวตายตัวอมตะของจริง ใช้มาตั้งแต่มัธยม ถ้าสกินแคร์หมดในช่วงเงินหมด ไปหาฮาดะลาโบะทันที ไม่พูดมากได้มั้ย เพราะถ้าเริ่มใช้สมัย 15-16 ละใช้ต่อจนจะ 30 แต่เปลี่ยนสีขวดตามความต้องการในตอนนั้น น่าจะบอกได้เลยว่ามันดือขนาดไหน มันคือยาสามัญของงจริงค่า ใช้ไปเรื่อยๆกระจ่างใสจริง 
คนงง ละมันต่างจากตัวบนยังไง ตัวล่างขวดอ้วนเตี้ยกว่าค่ะ เนื้อโลชั่นอันนี้ไม่มีความเหนอะเลย อันนี้ซื้อมาเผื่อเข้า summer ไม่อยากได้ความเหนอะหนะบนหน้า เรื่องไม่เหนอะบนหน้า ตัวนี้ถือว่าทำได้ดีเลย แต่ถ้าหน้าแห้งมากๆ แล้วคิดว่าจะใช้ตัวนี้เป็นมอยซ์เจอร์นะ โน๊วว โน๊วววว ไม่ช่วยจ้า คือมันชุ่มมั้ย ก็ุ่มแบบนิดนึงอะ สำหรับเราคือเอาไม่อยู่นะตัวนี้ ข้างจมูกยังมีแห้งอยู่ดี แต่จะใช้ตัวนี้กลางวันก่อนลง bb vitamin enriched face
เราว่าอันนี้เหมาะกับคนหน้ามันอยู่แล้วอะ เนื้อโลชั่นเหลวพอสมควร ไม่ตึ้บ ยิ่งประเทศไทยมันเหนอะหนะอยู่แล้วจะทาอะไรหนาๆก็ไม่เหมาะ คิดว่าตัวนี้ถ้าใครอยู่ไทยคงจะเหมาะสมกว่า
ด้วยความทางนี้อยู่ออส สักพักตรัสรู้ว่า ถ้าถึงซัมเมอร์ชั้นก็ไม่เหนอะตัวนี่นา แต่มันไหม้แดดยิ่งแสบผิว แดดเผาความชุ่มชื้นบนในหน้าหมด
เรื่องมันเกิดจากไปดูไอจีคนนึงมาเค้าก็บอกว่า ควรลงทุนกับอะไร ไม่ควรลงทุนกับอะไร เค้าบอกว่าล้างหน้ากับมอยซ์เจอร์ใช้ตัวถูกๆแต่ปลอดถภัยเอาก็ได้ แต่เซรั่มอะควรจ่ายเพราะเหมือนซื้อนวัตกรรมด้วย แต่ถ้าเงินไม่ถึงก็ไปเอาบอใหญ่ๆอย่างลอรีอัลแทนเพราะราคาเข้าถึงแต่มันมีชื่อเสียงมีการทดลองที่น่าเชื่อถือ อะไรงี้ ในหัวคืออะโอเค งั้นซ์้อลอรีอัลเป็นหลักละกัน เป็นมิตรต่อหน้าเพราะไม่แพ้ แถมเป็นมิตรต่องบในกระเป๋าอีก (เซฟตรงนี้เพราะจะซื้อ shiseido ultimune ขวดเบิ้ม)

ตัวซ้ายซื้อมาเพราะอ่านคำเคลมว่าถึงเซลล์งั้นงี้ ฟื้นฟูความแก่งั้นงี้ แล้วคือดูจากชื่อคิดว่านางคงกะจะ dupe estee lauder anr แน่ๆ แถมลดครึ่งนึงเหลือ 30$ จะรอดได้ไงล่ะ พอเข้า google ก็อย่างที่คิด มีคนบอกว่าตัวนี้เทียบเท่า estee lauder anr ได้เลย ใช้ไปสองวันก็รู้สึกผิวดูฟูนะ ซึมไวมากกกกก แต่ยังไงก็ไม่เท่าเอสเต้แหละ แถมตัวลอรีอัลที่อ่านในบทความตปทคือมีความ exfoliate อ่อนๆ ส่วนตัวไม่อยากให้มาแทนเอสเต้อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคิดนะ ราคาถูกกันครึ่งๆ แล้วลอรีอัลมันอยู่ตามร้านยา ยังไงมันก็มีโปรมาเรื่อยๆ แต่ตอนที่ซื้อโชคดีที่ได้มาครึ่งราคา
คิดว่าถ้าเหมาะคงแบบเอสเต้หมด และเงินก็หมด แนะนำใช้แบบพอถูไถไป 30$ / 130$ เป็นตัวที่ปล่อยจอยในการใช้มาก ไม่คาดหวังระดับเอสเต้ เพราะสิ่งนึงที่ตัดสินใจคือ สมมติถ้าเล่าขานว่า dupe จริง(แต่แค่ทำไม่ถึง) ยังไงนี่คือบริษัทลอริอัลอะ มันเซฟกับหน้าแล้วแน่ๆ
ตัวกลางก็ซื้อมาตอนลดครึ่งราคามาเหมือนกัน หลังๆแทบจะซื้ออะไรทีี่เซฟ

ตัวกลางก็คือวิตามินซีทั่วไปนี่แหละ จริงๆของลอรีอัลดีมากๆ แม้ว่าจะไม่ไวรัลในตตเหมือนสกินแคร์ตัวอื่นๆ ที่พูดแบบนี้คือเคยใช้วิตามินซีของเกาหลีที่เค้าลือว่าดีนักหนาเนี่ย ไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง(ยกเว้นของ neogen นะอันนั้นดี แต่ส่วนตัวเป็นคนที่รอพรีออเดอร์ไม่ไหวเลยไม่ได้ซื้อ) แต่ข้อเสียของลอรีอัลคือแพคเกจมันเนี่ยแหละ เหมือนดรอปเปอร์มันดูดตัวผลิตภัณฑ์ไม่ได้ หงุดหงิดมากๆๆ ถ้าลอรีอัลมาเห็นก็อยากจะบอกว่า ช่วยปรับปรุงให้แพคเกจมันดูดดีหน่อยมั้ยมั้ย บางทีเราก็ใจร้อนอะ เหมือนดรอปเปอร์นังต้องใจเย็นกับการดูดอะ เราเคยแบบจุ่มลงแปบเดียวแล้วยกขึ้นมาใช้เลย สรุปมันไม่ดูดผลิตภัณฑ์อะไรออกมาสักอย่าง ที่ใช้มีสองตัวที่คิดว่าโอเคและแน่นอนก็น่าจะอยู่เครือเดียวกัน สองตัวที่ว่าคือลอรีอัลกับลาโรช

ขวาสุดขึ้นชื่อในตต ซึมง่าย เราใช้มาเพื่อเสริมกับ vit c เท่านั้น เราเคยใช้กับวิตามินตัวอื่นก็ผ่อง แต่ใช้เดี่ยวแล้วเฉยมากๆ คือตัวนี้เราเอามันมาเพื่อเสริม vit c เท่านั้นเลยหรือในกรณีที่ใช้วิตามินซีบ่อยๆหรีือพวก active ingredient บ่อยจนแสบหน้าก็ใช้อันนี้แทนแล้วงด active ingredient พวกนั้นสักพักจนกว่าหน้าจะหายแดง
ส่วนอันนี้ก็กลางคือค่ะ ไอ้ตัวซ้ายไม่ต้องพูดถึงมันแล้วเนอะ แต่จัวกลางและตัวขวาไม่ได้ใช้ร่วมกัน ถ้าวันไหนใช้กลางแล้ว ก็จะใช้ตัวขวาในอีกวัน แล้วอีกวันก็ moisture เสริม barrier อันนี้เรียนรู้จากพนักงาน mecca มาค่ะ สำหรับ night routine เค้าให้ทำเป็น cycle (ตอนนั้นใช้ pha / bakuchiol สำหรับกลางคืน) เค้าแนะนำว่า คืนแรก pha คืนสอง bakuchiol คืนที่สาม hya หรืออะไรก็ตามที่ช่วยเรื่องการกู้ barrier ให้ผิว แล้วก็วกกลับมาที่คืนแรกใหม่ ให้ทำแบบนี้ไป สักพักแล้วเออ ก็ดีขึ้นแฮะ แถมหน้าไม่แหกด้วย

ตัวกลางเป็นเรตินอลเนื้อเซรั่มครีมๆสีเหลืองอ่อน ราคา 30$ แถมรีวิวดีด้วย ที่อ่านมาคือตัวนี้มีความเข้มข้น 1% แต่ก่อนหน้านั้นใช้ลอรีอัลตัว pure retino; 0.25% แต่ลอรีอัลทำแพ้กว่า ส่วนของ frank body เค้าบอกว่าเป็นเรตินอลแบบ blend เพื่อที่จะให้มีความอ่อนโยนกับหน้า ตามที่แบรนด์เคลมคือนังมี ginger extract ด้วย

ตัวขวาสุดเป็นผลัดเซลล์แบบอ่อนโยน จริงๆใช้เซท kit concentrate มาก่อน แล้วตัวนี้ซื้อมาหลังสุด หมดตัวสุดท้าย เคยอ่านมาว่า pha / bakuchiol มันเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเริ่มใช้เรตินอล แต่ยังไม่กล้าลงเรตินอลจริงๆจังๆ อันนี้จะอ่อนโยนกว่า และสามารถใช้ได้ทุกวันมากกว่าเรตินอล(แล้วแต่คนอีกนะ บางคนใช้แล้วแพ้หน้าแดงก็มี) แต่โดยรวมคือ bakuchiol เหมาะสำหรับคนที่อยากจะรเิ่มใช้ retinol เหมือนเป็นประตูบานแรกสำหรับการใช้ retinol ไม่ก็วัยรุ่นๆ ที่เค้าอาจจะผลัดเซลล์เพราะสิวเป็นหลัก ริ้วรอยเป็นรอง ใครมีรอยลึกคงต้องเพียวเรตินอลแล้ว (ฟีลเหมือนที่เราใช้กันแดดเพราะป้องกันผิวคล้ำตั้งแต่ 15 จริงๆควรบอกว่าใช้่ตั้งแต่ 13-14 ขึ้นสแตนกีฬาสีแม่เห็นวันต่อมาแม่ซื้อมาส์กมาเลย แล้วก็เริ่มใช้มาตลอดเรื่อยๆ ไม่หยุดใช้ ไม่ได้นึกถึงเรื่อง antiaging เลย หลังๆค่อยมาให้ความสำคัญเรื่อง antiaging ก็ปีนี้เนี่ยแหละ)

ทั้ง frank body และ kit คือแบรนด์ออสซี่แท้ ขายความคลีนเหมือนกัน แต่ kit เหมือนนจะทำให้สำหรับคนทางเลือกวีแกนด้วย เพราะบางตัวเค้าเคลมตัวเองด้วยว่าโปรดักตัวเองเป็น plant based แล้วไม่มีเรตินอล จะใช้พวก pha , bakuchiol แทนเรตินอล ส่วนวิิตามินซีจะเป็น kakadu plum แทน
ส่วน frank body นางดังด้วย coffee body scrub นะ ถือว่าดีมากๆๆๆ ถ้าไม่นับเรื่องห้องน้ำเลอะเทอะน่ะนะ (ก่อนหน้านั้นเคยใช้ body scrub - drunk elephant มันให้ความรู้สึกเหมือน frank body ในราคาสองเท่าของ frank body อีกแหน่ะ) นางคือทางเลือกนึงของเราที่ต้องการอะไรที่พอไปได้เข้าเกณฑ์ดี ในราคาที่รับได้ แถมได้สะสมแต้มจาก mecca อีก 
อันนี้มีส่วนผสมเมือกหอยทาง ใครใช้ cosrx แล้วรู้สึกเหนอะหนะตัวนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี บีบมาเนื้อออกมาเป็นเจลใสๆทาลงหน้าก็ซึมง่าย ชอบใช้ตัวนี้ร่วมกับ numbuzin no.3 glowing essence ที่จะรีวิวเป็นตัวถัดไป มักจะใช้สองตัวนี้ควบคู่กับในวันที่ต้องการแค่ความชุ่มชื้น พักหน้าจากการใช้ active ingredient ต่างๆ ทาเดี่ยวๆไม่ทำให้ชุ่มนะจ้ะตัวนี้ เทกซ์เจอร์ต่างกับ cosrx มากๆ ตรงที่อันนี้คือเจลเหมือนเราทาเจลว่านหาง after sun แต่ cosrx มันมีความยืดๆเหนียวๆ
น้องตัวนี้เราใช้เป็นน้ำตบก่อนลงเซรั่ม แต่เพราะเนื้อมีความหนึบ เหมาะกับคนหน้าแห้งมากกว่าหน้ามัน มันซึมไปแล้วแต่ก็ยังมีความหนึบหน้าเล็กน้อย ตอนแรกจะใช้ทั้งกลางวันกลางคืนเลยตอนหน้าหนาว แต่พอร้อนละกลางวันก็มีบ้าง แต่จะเน้นทากลางค่ืนเป็นหลัก ช่วยให้หน้ามันฟูขึ้น อิ่มขึ้น เหมือนเติมน้ำให้ผิว ตามเชื่อเลย ให้ความโกลว์อิ่ม แต่ต้องคอนโทรลนะ เพราะเรารู้สึกว่าตัวนี้มากไปก็จะเหนอะหน้าได้ น้อยไปก็ไม่ช่วย เราต้องหาความพอดีในแบบตัวเองจริงๆ 
มาที่อายครีมบ้าง ตัวซ้ายนังบอกช่วยเรื่องริ้วรอยด้วย เราไม่สามารถบอกได้ในเคสของคนที่มีริ้วรอยลึกนะคะ เพราะของเราที่มีก็มีริ้วเล็กๆใต้ตาก็พอเติมได้ ตื้นขึ้นอยู่ แต่อันนี้เหมาะสำหรับคนใต้ตาแห้งมากกว่า เพราะน้องตัวนี้เนื้อหนาเนื้อ rich พอควร ถ้าจะใช้ที่ไทยก็คงเหมาะกับกลางคืนมากกว่า และด้วยความที่เนื้อน้องเค้ามันเข้มข้น บางคืนในหน้าหน้าวก็หยิบน้องคนนี้มาทาทั้งหน้าแทนมอยซ์เจอร์ปกติเลย วันไหนที่หยิบน้องทาทั้งหน้า ตื่นหน้ามาหน้าอิ่มหน้าฟูมาก หลังๆไม่ค่อยได้หยิบเพราะเข้าหน้าร้อน จะหยิบก็ต่อเมื่อตอนกลางคืนที่ต้องรู้ว่าวันต่อมาต้องเที่ยวต้องใช้หน้าหรือต้องการความอิ่มฟู 

ตัวขวานี่ซื้อมาเพราะอยากซื้ออะไรสักอย่างช่วง black friday น่ะ จะซื้อแค่สลีปปิงมาส์กอย่างเดียวก็ยังไงๆ สนใจโปรดัก kora สักพักละ เคยซื้อวิตซีเซรั่มก็ซึมง่ายดี แต่ไม่เห็นผลเท่าสองแบรนด์ที่กล่างถึง และสนใจเรตินอลจริงจังหลังจากใช้ผลัดเซลล์อ่อนโยนมานาน น่าจะแข็งแรงพอใช้แบบเรตินอลขึ้นมาได้บ้างเลยหยิบน้องคนนี้มา ซึ่งจริงๆน้องคนนี้สำหรับทาหน้าทั่วไป แต่เราหยิบน้องไปใช้เป็นอายครีมแทนเพราะค่าตัวกระปุกนี้ไม่แพงมาก ถ้าเทียบกับ eye cream แบรนด์อื่น ถ้าดีขึ้นก็จะซื้อไซส์จริงมาด้วยเลย เนื้อครีมออกม่วงนิดๆซึมเข้าผิวง่าย ด้วยความที่โปรยเป็นเรตินอล ตัวยนี้เลยใช้ทารอบดวงตา หน้าผาก หว่างคิ้ว และ smile line ไปด้วยซะเลย ตัวนี้เพิ่งลองได้ไม่นานเลยบอกไมไ่ด้ว่าดีไม่ดี แต่เพราะมันคือเรตินอล เราทาป้องกันริ้วรอยไว้ก่อนดีกว่า
และตัวสุดท้ายในรูทีนก็มาถึงงงง จำได้ว่าครั้งก่อนก็มีน้องตัวนี้ติดในลิสต์ด้วยนะ ตอนที่เค้าขาดสต็อกในเซโฟร่านี่แทบขาดใจ นึกว่าน้องจะไปแล้ว เพราะแคปรูปให้พนวดูเค้าบอกว่าถ้าแบรนด์แพงๆอย่างนี้แล้วลด 30% นอกเทศกาลเซล แปลว่ามันจะ discontinued แล้วนะ ใจสลายมาก ไม่กล้าใช้ให้มันหมดเลย แต่สุดท้ายมันดิสอันเก่าเพื่อเอาเวอร์ชั่นใหม่แพคเกจจิ้งใหม่เข้ามา พอรู้เลยก็ซื้ออันใหม่ทันที อันนี้ช่วยให้หน้าอิ่มฟู ดูนอนเยอะ กลิ่นก็หอมผ่อนคลาย ตัวนี้มักจะหยิบใช้ในกรณีแรกเลยคือต้องออกไปเจอคนสำคัญ ออกไปเดท ไปเที่ยวที่มั่นใจว่าเออ มันต้องมีถ่ายรูป สองคือตอนที่หลังจากเที่ยวผับ ล้างหน้าอาบน้ำโบกตัวนี้นอนเลย เพระาถ้าอาบน้ำเสร็จตีสองมาทำตามรูทีนตัวเองจะได้นอนกี่โมงก่อน เลยเอาตัวนี้โบกๆละล้มตัวนอนเลย สามคือ ไม่ได้เที่ยว ไม่มีนัด ไม่มีอะไร แค่ขี้เกียจทาเยอะ มันมีอารมณ์ขี้เกียจลงสกินแคร์กันมั้ย ถ้าขี้เกียจก็ตัวนี้ตัวเดียวละนอน หรือถ้าขยันก็น้ำตบฮาดะก่อนแล้วลงตัวนี้ ไม่ก็ชีทมาส์กก่อนแล้วค่อยสลีปปิงมาส์ก เคยนอกใจครั้งนึงก็กลับมาตายรังอยู่ดี กลิ่นก็หอมผ่อนคลายตามสไตล์ของแบรนด์เค้า อย่าเอาออกจาก sephora เลยนะ 
ก็ประมาณนี้ค่ะสำหรับรูทีนของเรา อาจจะเยอะไปบ้าง ที่บอกเยอะคือมันเยอะจนกระทู้นี้ใช้เวลาเขียนเกือบอาทิตย์เพราะขี้เกียจแหน่ะ เวลาพิมพ์ไปก็สงสัยว่าเออ เราใช้เยอะขนาดนี้เลยหรอ หรือเราแค่ขี้เกียจรีวิวเอง รอบนี้ไม่ค่อยมีของราคาแพงๆเพราะงบตัวเองด้วย เลยเน้นว่าอะไรควรลงทุน อะไรถูกได้ถูก ก็หวังว่าทุกคนคงจะชอบกับการอัพเดทรูทีนของเรานะคะ แถมการเปลี่ยนแปลงล่าสุดคือเริ่มเน้นของไปทางความชุ่มชื้นและ antiaging มากขึ้นด้วย คราวหน้าจะมารีวิวอะไรก็รอดูกันต่อไปนะคะ หมดกระทู้ก็จะลาไปเรียนภาษากับน้อง duolingo ก่อนนะคะ  สวัสดีค่าาา

Discussion (8)

น่าสนใจมากเลยค่า ต้องไปหามาลองใช้บ้างแล้วค่ะ