Blake Lively Vs Justin Baldoni ใครกันแน่ที่พูดไม่จริง?


นี่อาจจะถือเป็นปรากฏการณ์ราโชมอนครั้งมโหฬารแห่ง Hollywood เมื่อผู้กำกับหนุ่ม Justin Baldoni ฟ้องหมิ่นประมาทกลับเพื่อเรียกค่าเสียหายจาก Blake Lively และสามีด้วยตัวเลขถึง 400 ล้านดอลลาร์ ทีมของเขาเริ่มปล่อยข้อมูลหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา 'คุกคามทางเพศ' และ 'สร้างสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานที่เป็นพิษภัย' จุดประเด็นถกเถียงร้อนแรงในโลกออนไลน์ว่า ใครกันแน่ที่บิดเบือนความจริงเรื่องเป็นเหยื่อการคุกคาม?


ทีม Justin ปล่อยคลิปยา่วสิบนาทีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ แต่นี่จะเป็นหลักฐานที่ชัดพอช่วยให้ชนะคดีหรือไม่?
คลิปที่นางเอก-พระเอก (และผู้กำกับ) หนัง It End With Us กำลังเข้าฉากเต้นรำสุด romantic ถูกนำมาอ้างอิงเป็นหลักฐานในคดีฟ้องร้องหลายร้อยล้าน เนื่องจากเป็นฉากที่ถ่ายทำเจาะเฉพาะการแสดงสีหน้าท่าทางแล้วตัดเสียงการพูดคุยออกไป เนื้อหาการสนทนาโต้ตอบจึงมาจากความคิดของพวกเค้าแบบ raw ไม่ใช่การพูดตามสคริปท์
เกิดอะไรขึ้นระหว่างการถ่ายทำฉากเต้นรำ
  • เมื่อ Justin เริ่มฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวเพื่อสื่อถึงความเสน่หา Blake แสดงความคิดเห็นว่า พวกเค้าควรจะแสดงความรู้สึกในฉากเต้นรำผ่านการพูดคุย เพราะดู romantic กว่าการสัมผัสเนื้อตัวแนบชิด

  • Justin เห็นต่างออกไป ชี้ว่า ถึง Blake และสามีจะพูดคุยกันเสมอ แต่เขาและภรรยามักจ้องตากันโดยไม่ต้องพูดอะไร ทำให้ Blake หยอกล้อกลับไปว่า เธอเจอพวกโรคจิตต่อต้านสังคมเข้าให้แล้ว

  • Justin ถามว่า วันนี้หนวดเคราของเขาทำให้ระคายผิวหรือไม่ ทำให้ Blake หัวเราะแล้วตอบว่า spray tan ของเธออาจจะไปติดที่ตัว Justin เหมือนกัน เขาได้ให้ความเห็นว่า มันมีกลิ่นหอมดี

  • Blake ที่ดูไม่สะดวกใจในฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวได้เปรยเรื่องจมูกของพวกเค้าที่เสียดสีกัน เมื่อ Justin ตามน้ำด้วยการยอมรับว่า เขามีจมูกใหญ่จริงๆ เธอจึงเล่นมุกต่อว่า เขาควรใช้ประกันสุขภาพไปทำศัลยกรรม

เพราะอะไร ทีม Justin จึงเลือกปล่อยคลิปเข้าฉากเต้นรำ?

นางเอกสาวคู่กรณีได้ระบุในเอกสารยื่นฟ้องร้องว่า ผู้กำกับ/พระเอกแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในระหว่างการถ่ายทำฉากนี้ เขาใช้ริมฝีปากซุกไซ้บริเวณหูของเธอลงไปถึงซอกคอและบอกว่า "หอมจังเลย"

แต่ฝ่ายกฎหมายของ Justin ได้บรรยายเหตุการณ์ที่ปรากฏในวีดีโอว่า นี่คือฉากที่ตัวละครทั้งสองกำลังตกหลุมรักกัน ซึ่งเห็นกันได้ชัดเจนว่า ทั้งสองต่างวางตัวในขอบเขตอย่างเหมาะสม มีความให้เกียรติและเป็นมืออาชีพ ทนายของเขายังชี้ว่า Blakeบอกเล่าเหตุการณ์ไม่ตรงกับความจริง เพราะเธออ้างว่า Justin แสดงพฤติกรรมจาบจ้วงล่วงเกินเธอในขณะที่ไมโครโฟนไม่ได้ทำงาน แต่ที่จริงไมโครโฟนของ Justin ถูกเปิดไว้ตลอด

คงเดากันออกว่า ทีม Blake จะฟาดกลับทันควัน พวกเค้ากล่าวหาว่า การปล่อยคลิปนี้เป็นการบิดเบือนให้สาธารณชนหลงเชื่ออย่างไร้จรรยาบรรณ และพวกเค้ากำลังพยายามเต็มที่เพื่อจะดึงตัวคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงภายใต้การให้คำปฏิญาณในศาล ไม่ใช่ปล่อยข่าวเล่นงานกันผ่านสื่อ


มุมมองที่แตกต่างออกไปต่อคลิปฉากเต้นรำที่ไม่ได้ผ่านการตัดต่อ


 หลายคนลงความเห็นว่า การเข้าฉากถึงเนื้อถึงตัวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการแสดง Justin ไม่ได้เผยท่าทีฉวยโอกาสลวนลามตามที่ Blake กล่าวหา แต่มันคือหน้าที่ของเขาเพื่อการแสดงและกำกับให้หนังดูสมจริง และสมควรจะได้รับความร่วมมือจากนางเอกที่ต้องรับรู้มาตั้งแต่ต้นว่า นี่คือหนังแนว romance-drama ที่จะต้องมีเลิฟซีนสื่อถึงอารมณ์รักและลุ่มหลงของหญิงชาย พวกเค้าไม่สัมผัสถึงการคุกคาม บีบบังคับ หรือล่วงละเมิด แต่เป็นการทำงานของมือโปร

แต่ฝ่ายที่เห็นต่างมองว่า คลิปนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ข้อกล่าวหาของ Blake ได้ชัดเจน เธอดูอึดอัดใจเมื่อ Justin เริ่มสัมผัสร่างกายเธออย่างแนบชิด เธอจึงได้ยกเรื่องจมูกมาล้อเลียนของและวิจารณ์วิธีการแสดงความ romantic กับภรรยาของเขาเพื่อจะบ่ายเบี่ยงไม่ให้เขาจู่โจมจูบเธอตามใจชอบ

ยังมีคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีการระบุถึง intimacy coordinator (ที่ปรึกษาในการแสดงฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัว) ที่รับผิดชอบฉากเต้นรำนี้ ซึ่งตรงกับข้อเรียกร้องของ Blake ที่ต้องการให้สตูดิโอปรับปรุงนโยบายปกป้องความปลอดภัยของนักแสดงด้วยการจัดหา intimacy coordinator มาคอยกำกับดูแลนักแสดงที่ต้องเปลืองตัวในเลิฟซีนทุกครั้ง

Mia Schachter ผู้ทำหน้าที่ intimacy coordinator ในซีรีส์ Insecure (ที่ขึ้นชื่อเรื่องฉากติดเรท) ได้วิเคราะห์ว่า Justin น่าจะเพิ่มการแสดงเข้าถึงเนื้อเนื้อถึงตัวแบบด้นสดโดยที่ไม่ได้ตกลงกับ Blake ไว้ก่อนถ่ายทำจนเธอมีท่าทีบ่ายเบี่ยงเมื่อเขาพยายามจูบเธอ แม้หนังเรื่องนี้จะให้เครดิตผู้รับหน้าที่ intimacy coordinator สองคน แต่เธอจะไม่รู้สึกประหลาดใจหากบอกว่า ไม่มี intimacy coordinator ดูแลนักแสดงในฉากนี้ และเป็นความรับผิดชอบของผู้กำกับที่จะสื่อสารให้เข้าใจก่อนว่า เขาต้องการถ่ายฉากกอดจูบ แต่กลับสัมผัสแนบชิดกับนางเอกโดยที่ยังไม่ทำความเข้าใจกันดี ซึ่งฝ่าย Blake ก็พยายามรับมือกับสถานการณ์ด้วยรอยยิ้มเพื่อไม่ทำให้ผู้กำกับขุ่นเคืองใจ

มีรายงานว่า ทนายของ Blake และ Ryan ได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาเพื่อออกคำสั่งไม่ให้ Justin และทีมกฎหมายของเขาเปิดเผยข้อมูลอื่นๆตามมา ด้วยการยกหตุผลว่า คู่กรณีวางแผนตอบโต้ด้วยการปล่อยข่าวรายวันผ่านสื่อ แต่ก็ทำให้ชาวเน็ทตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจจะเป็นความพยายามในการปกปิดข้อมูล เพราะหวั่นเกรงต่อหลักฐานในมือของ Justin ที่จะทำให้สาธารณชนหมดความเชื่อถือในตัวพวกเค้า

ความพยายามของ Justin เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาที่ถูกเผยแพร่ใน The New York Times

  • ข้อกล่าวหาของฺ Blake
Jamey Heath (โพรดิวเซอร์/ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโพรดัคชั่น Wayfarer Studios หุ้นส่วนของ Justin)   เปิดวีดีโอผู้หญิงเปลือยถ่างขาให้ดูจนทำให้เธอรู้สึกตกใจและไม่ยินดีที่ต้องเห็นสื่อโป๊เปลือยจนต้องบอกให้เขาหยุดเล่นวีดีโอดังกล่าว

  • คำอธิบายจากทนายฝ่าย Justin
คำกล่าวหานี้ฟังดูไร้เหตุผลเป็นอย่างยิ่ง เพราะวีดีโอนี้ไม่ได้สื่อถึงความลามกแม้แต่น้อย เพราะนั่นเป็นวีดีโอของภรรยาโพรพิวเซอร์ที่คลอดธรรมชาติในบ้านที่ถูกยกมาเป็นส่วนหนึ่งในการปรึกษาหารือถึงการสร้างฉากคลอดลูกในหนัง

  • ข้อกล่าวหาของฺ Blake
 Justin และโพรดิวเซอร์โผล่เข้ามาในรถเทรลเลอร์ของเธอโดยไม่บอกกล่าว จนทำให้รู้สึกถูกล่วงละเมิดเพราะเธอกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนในขณะลบเครื่องสำอางออก

  • คำอธิบายจากทนายฝ่าย Justin 
ฺBlake ส่งข้อความถึง Justin ว่า หากเขาต้องการจะพูดคุยเรื่องบทหนัง ตอนนี้เธอกำลังปั๊มนมอยู่ในเทรลเลอร์  ซึ่งทนายอ้างว่า ข้อความนี้สื่อถึงการเต็มใจที่จะเชิญให้ Justin เข้ามาในเทรลเลอร์ในขณะที่เธอกำลังปั๊มนม ซึ่งเขาได้ตอบกลับไปว่า ทราบแล้ว รับประทานอาหารกับทีมงานเสร็จจะเข้าไปหา ทนายอ้างว่า เธอสะดวกใจมากพอในการให้นมลูกต่อหน้า Justin ระหว่างประชุมงาน ข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศจึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิด

(การเปิดเผยข้อความนี้ได้จุดประเด็นเรื่องของ consent เพราะแม้ Blake จะไม่ได้มีปัญหาในการให้นมลูกต่อหน้าเพื่อนร่วมงานชาย แต่ก็มีความแตกต่างจากการถูกรุกล้ำเข้ามายังพื้นที่ส่วนตัวในสภาพที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย และหากไม่ใช่ตอนที่จำเป็นต้องให้นมลูก เธอคงไม่ได้เปลื้องเสื้อพูดคุยผู้กำกับและโพรดิวเซอร์แบบไม่รู้สึกรู้สา แต่ก็มีคนเชื่อว่า Blake กุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม เพราะข้อความโต้ตอบนี้ชี้ว่า Justin ได้แจ้งให้เธอรับรู้แล้วว่า กำลังจะเข้ามาคุยงาน ซึ่งมองได้ว่า ารพบปะกันครั้งอื่นๆ เขาคงไม่ถือวิสาสะเข้ามาจ้องมองทรวงอกของเธอโดยไม่ได้เคาะประตู)





Justin กล่าวหาสามีภรรยาผู้โด่งดังว่าใช้อิทธิพลบีบคั้นให้เขาจนมุม
  • ข้อกล่าวหาของฺ Blake
จำเป็นต้องจัดการประชุมเจรหาเพื่อหาทนทางแก้ไขบรรยากาศในการทำงานที่เลวร้ายจนเกือบทำให้การถ่ายทำหนังล่ม เธอจึงขอให้สามีรับหน้าที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมด้วย

  • ข้อกล่าวหาโต้กลับของ Justin
Ryan ตำหนิเขาอย่างรุนแรงเพราะเชื่อว่า เขาทำร้ายจิตใจ Blake ด้วยพฤติกรรม fat-shaming แต่แม้ว่าเขาจะยืนกรานปฏิเสธ Ryan ก็ประนามหยามเหยียดเขาจนรู้สึกเจ็บฝังใจ และไม่เคยมีใครพูดจาย่ำแย่กับเขาเช่นนั้นมาก่อนในชีวิตนี้ แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เขายังได้ยินมาว่า Ryan ใช้อิทธิพลบีบบริษัทเอเจนซี่ WME ให้ยุติการทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเขา (หลังจาก Blake ฟ้อง Justin ด้วยข้อกล่าวหาคุกคามทางเพศ บริษัท WME ก็ตัดความสัมพันธ์กับเขาแทบทันที แต่เมื่อ Justin ฟ้อง The New York Times เอเจนซี่เจ้านี้ก็ออกมาปฏิเสธข่าวว่า ทั้ง Ryan และ Blake ไม่ได้เข้ามากดดันแต่อย่างใด)

  • ข้อกล่าวหาของฺ Blake
ต้องพบกับความวิตกกังวลเพราะผู้กำกับ/พระเอกมักนอกบท ฝืนใจเธอให้ร่วมแสดงฉากถึงเนื้อถึงตัวแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริบทของหนังหรือสื่อถึงตัวละครที่พวกเค้าต้องสวมบทบาท

  • ข้อกล่าวหาโต้กลับของ Justin
ฺBlake ใช้วิธีขู่เข็ญให้เขาปรับเปลี่ยนการสร้างหนังให้ตรงตามที่เธอต้องการ หากไม่ยินยอมก็ให้เลือกเอาระหว่างเปลี่ยนตัวนางเอก หรือไม่เช่นนั้นเธอจะไม่ยอมเข้าร่วมการถ่ายหนังหรือโพรโมทหนัง ซึ่งรวมไปถึงการว่าจ้างทีม editors และ composers ที่คุ้นเคยในการร่วมงานกับสามีของเธอ ไม่ใช่ทีมที่เขาเลือกสรรไว้  ซึ่งเขาเพิ่งค้นพบจากการให้สัมภาษณ์ของนางเอกสาวระหว่างการโพรโมทหนังว่า สามีของเธอเป็นผู้เขียนบทในฉากหนึ่งที่มีความสำคัญในหนัง เมื่อถูกควบคุมแนวทางการทำงานและยังมีคนนอกแทรกแซง เขาจึงรู้สึกว่าไม่เป็นที่ยอมรับนับถือในฐานะผู้กำกับ ความเห็นที่ไม่ลงรอยเรื่องทิศทางของหนังนำไปสู่การทำข้อตกลงฉายหนังเพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ชมเปรียบกันสองเวอร์ชั่น โดยตั้งเงื่อนไขว่า หากเวอร์ชั่นใดที่โดนใจผู้ชมในรอบฉายหนังทดลองมากกว่าก็จะเป็นผลงานที่ถูกเลือกให้เผยแพร่สู่สายตาสาธารณชน ผลลัพธ์คือ ผู้ชมเทคะแนนให้กับเวอร์ชั่นของผู้กำกับสูงกว่าชัดเจน แต่ ฺBlake กลับคำพูด ยังยืนยันให้ Sony Pictures เลือกเวอร์ชั่นที่เธอต้องการ เนื่องจากเธอได้รับการสนับสนุนจากผู้ประพันธ์นิยายต้นฉบับ



ปฏิกิริยาจากมวลชน
สัจธรรมของสังคมออนไลน์คือการปะทะกันทางความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะดราม่าที่กำลังรอการพิสูจน์ความจริง ความขัดแย้งของคนดังครั้งนี้ถูกยกให้เป็นการเปิดศึกทาง PR ซึ่งผู้คนได้แบ่งฝักฝ่ายเปิดประเด็นถกเถียงว่า เราควรจะเชื่อถือฝ่ายใดมากกว่า

กลุ่มคนที่ยืนหยัดเป็นฝ่ายเดียวกับ  Blake ยังมั่นใจว่า เธอได้ก้าวออกมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง
หลังจาก Blake Lively สร้างแรงสั่นสะเทือน Hollywood ด้วยการฟ้องร้องผู้กำกับและผู้บริหารสตูดิโอ พร้อมกับแรงสนับสนุนจากเพื่อนร่วมวงการหลายคนรวมถึงคำชื่นชมจากสมาคม SAG-AFTRA ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ชาวเน็ทหลายคนมองว่า เธอกำลังยกมาตรฐานใหม่ในการสร้างเสริมความปลอดภัยให้กับนักแสดง และกล้าหาญมากพอจะเปิดโปงพฤติกรรมล้ำเส้นของชายผู้กุมอำนาจการสร้างหนัง

แม้จะมีผู้ยอมรับว่า รู้สึกขัดใจกับการแสดงทัศนคติบางอย่างของ Blake ในระหว่างการโพรโมท It Ends With Us แต่ผู้คนไม่ควรนำเรื่องนิสัยส่วนตัวของเธอมาลดทอนคุณค่าในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม หรือพูดง่ายๆก็คือ ไม่ว่า Blake จะมีพฤติกรรมแบบ mean girl ตามเสียงเล่าลือในโลกออนไลน์หรือไม่ แต่ไม่ควรด่วนตัดสินว่า เธอโป้ปดเรื่องเป็นเหยื่อคุกคามทางเพศ  โดยเฉพาะที่เธอมีหลักฐานเป็นการเรียกประชุมเจรจากับผู้มีอำนาจการตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้เพื่อเร่งแก้ไขและปกป้องสวัสดิภาพของนักแสดงและพนักงาน พร้อมทั้งตั้งกฏเหล็กห้ามผู้กำกับและโพรดิวเซอร์แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมถึง 30 ข้อ ซึ่งทำให้เชื่อกันว่า เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกคุกคามอันเลวร้ายจนไม่สามารถฝืนทนต่อไปได้  และคงไม่ปั้นแต่งข้อเรียกร้องยาวเหยียดขนาดนี้อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจฟ้องก็น่าจะใคร่ครวญถึงประจักษ์พยานและหลักฐานต่างๆที่มีน้ำหนักมากพอจะเปิดโปงฝั่งตรงข้าม ดังนั้นเราจึงควรติดตามการต่อสู้ทางกฎหมายแทนที่จะเชื่อข่าวลือที่ขาดการไม่กลั่นกรอง 

แต่ยังมีคนอีกมากมายที่โจมตี Blake และสาปส่งให้เธอพ่ายแพ้คดีจนต้องชดใช้ค่าเสียหายก้อนโตให้กับ Justin

ดราม่าจากปี 2024 ที่ Blake ถูกตราหน้าว่า ฉกฉวยประโยชน์จากการนำแสดงหนังที่ชูประเด็นเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัวและเมินเฉยที่จะให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมด้วยความจริงใจ ส่งผลให้ชาวเน็ทตามขุดคุ้ยเรื่องราว problematic ของเธอในอดีตมากระหน่ำโจมตีจนเป็นไวรัล ภาพลักษณ์ที่เสียหายลงไปทำให้ผู้คนจดจำ Blake ในภาพของ mean girl ที่ใช้ star power เล่นงานคนที่สร้างความไม่สบอารมณ์ให้ โดยเฉพาะเมื่อ Ryan ได้ก้าวมาเคียงข้างภรรยาเพื่อสู้ศึกนี้อย่างเต็มตัว กลุ่มคนที่มีอคติกับเธอเป็นทุนเดิมก็จ้องจับผิดว่า เธออาจจะวางแผนเล่นงานคู่กรณีด้วยข้อกล่าวหาเกินจริง และสวมบทเหยื่อที่น่าเห็นใจ และดูไม่สมเหตุสมผลเพราะเธอและสามีมีอิทธิพลมากพอที่จะบีบคั้นให้ Justin โอนอ่อนผ่อนตาม

ข้อมูลจากฝั่ง Justin "Blake เปรียบตัวเองเป็นเหมือนกับแม่มังกร"


ไม่เพียงเท่านั้น สื่อยังเปิดเผยข้อมูลจากเอกสารฟ้องร้องหมิ่นประมาทของฝ่าย Justin ที่บรรยายถึงความคิดเห็นอันแตกต่างเรื่องทิศทางสคริปท์หนัง และอ้างว่า เขาถูกเรียกตัวไปเจรจาหว่านล้อมที่เพนท์เฮาส์ของ Blake และ Ryan ซึ่งเพื่อนซี้ซุปตาร์ของพวกเค้า นั่นคือ Taylor Swift ได้ตามมา และพยายามชักจูงใจว่า บทหนังที่ Blake ต้องการปรับเปลี่ยนนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ซึ่งเขาพยายามส่งข้อความไปประนีประนอมว่า เขาชื่นชมการแสดงไอเดียของเธอและมันมีส่วนช่วยในการทำงานนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เรื่องราวน่าสนใจและสนุกยิ่งขึ้น แต่ก็วงเล็บเตือนว่า ถึงจะไม่ต้องให้ Ryan และ Taylor มาโน้มน้าว ไอเดียเรื่องบทหนังของเธอก็สร้างความประทับใจให้เขาอยู่แล้ว Justin ยังหยอดคำชื่นชมว่า เธอเป็นนางเอกที่มีความสามารถสูง เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นและขอบคุณที่มีโอกาสทำงานร่วมกัน

แต่ดูเหมือนว่า การแสดงความเห็นของ Justin จะไม่ประทับใจ Blake นัก (หากข้อความดังกล่าวเป็นหลักฐานของจริง) เพราะคำตอบของเธอได้เปรียบเทียบตัวเองกับตัวละครหญิงสุดแกร่งแห่งมหากาพย์ชิงบัลลังก์ เธอบรรยายตัวเองไว้ว่า

"หากคุณมีโอกาสได้ชมซีรีส์ Game of Thrones คุณจะต้องยินดีที่ได้รู้ว่าฉันเป็นเหมือนกับ Khaleesi พอดีว่าฉันมีมังกรเหมือนกับเธอ ไม่ว่าส่งผลดีหรือแน่อย่างไรก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะทำให้เกิดเรื่องดีๆ เพราะเหล่ามังกรของฉันจะเข้ามาปกป้องในสิ่งที่ที่ฉันพยายามต่อสู้ เราทุกคนต่างจะได้รับผลประโยชน์จากสัตว์ร้ายผู้งดงามของฉัน รวมถึงคุณด้วย ฉันรับรองได้เลย"

ชาวเน็ทที่มีอคติต่อ Blake อยู่แล้วต่างวิจารณ์ว่า เธอกำลังโอ้อวดเรื่อง connection ที่ทั้งสามีและเพื่อนสนิทเป็นคนดังทรงอิทธิพล ไม่ต่างจากการใช้บัตรเบ่งเพื่อกดดันผู้กำกับให้ปรับเปลี่ยนการทำงานให้ได้ดังใจเธอ การเปรียบเทียบตัวเองกับ Khaleesi ทำให้ชาวเน็ทส่ง meme ออกมาล้อเลียนเธอกันเกรียวกราว แดกดันว่า พวกที่สนับสนุน Blake พอใจกับสถานะบริวารเหมือนกับแกงค์ลูกมังกร และตอกย้ำถึงตอนจบของ Game Of Thrones ว่า นางเอกสาวอาจจะลงเอยแบบเดียวกัน


แม้ Justin จะเริ่มประสบความสำเร็จจากผลงานแสดงนำและกำกับ It Ends With Us ที่ทำกำไรไปอย่างสวยงามและผ่านผลงานการแสดงมาหลายเรื่อง แต่ star power ของเขาไม่ได้ใกล้เคียงกับ Blake และ Ryan แต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่า ชาวเน็ทหลายคนร่วมออกตัวปกป้องเขาและฟาดฟันนางเอกสาวคู่กรณีอย่างไม่ปรานีปราศรัย ขุดคุ้ยไปถึงความสัมพันธ์ในอดีตของ Ryan และ Scarlett Johansson ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมาเยาะเย้ย Blake เพื่อความสะใจ มีคนปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของเธออย่างต่อเนื่อง บัญชี Instagram ของเธอเต็มไปด้วยถ้อยคำว่าร้ายว่า เธอเป็นจอมปลอมที่ใช้ข้อกล่าวหาเท็จทำลายคู่อริ และกล่าวโทษว่า เหยื่อการคุกคามทางเพศตัวจริงจะต้องรับผลกระทบจากการกระทำของเธอ เพราะพวกเค้าจะถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือ หากอาชีพบันเทิงของเธอจะตกต่ำลงเพราะดราม่านี้ ก็เป็นเพราะการกระทำแบบขุดหลุมฝังศพตัวเองและยังฉุดชื่อเสียงของสามีให้ดำดิ่งตามไปด้วย

กระแสต่อต้านที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวเน็ทหลายคนฟันธงว่า Blake กำลังจะตกเป็นเป้าหมายความเกลียดชังจนอาจกลายเป็น Amber Heard คนถัดไป ซ้ำร้ายยังมีเสียงสาปส่งให้เธอแพ้คดีอย่างหมดรูป

คนใกล้ตัวที่สนับสนุน Blake ต้องรับมือกระแสต่อต้านไปด้วย

ผู้คนมักคุ้นเคยกับเสียงชื่นชมในตัว Ryan Reynolds เรื่องบุคลิคที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันและผลงานหนัง superhero ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่การผนึกกำลังกับภรรยาเพื่อเปิดศึกกับ Justin Baldoni กลับดึงดูดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ บัญชี Instagram ของเขาถูกกระหน่ำโจมตีจากชาวเน็ทที่ประกาศเลือกข้างเป็น Team Justin รวมถึงกลุ่มที่ยืนยันว่า แม้จะเคยเป็นแฟนตัวยงของเขา แต่ผิดหวังกับการกระทำของสามีคนภรรยาคนดังจนขอ boycott ผลงาน จากที่ Ryan ครองภาพลักษณ์พระเอกหนุ่มน่ารักนิสัยดีในตลอดเส้นทางอาชีพบันเทิงอันยาวนานก็ไม่เคยปรากฏกระแสต่อต้านหนักเพียงนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่จะมีผู้กล่าวหา สามีภรรยาผู้โด่งดังรวมหัวกันใส่ร้ายป้ายสีผู้กำกับ/นักแสดงหนุ่มเพราะความแค้นเคืองจากความขัดแย้งเรื่องบทหนัง ก็ถึงกับมีการตั้งทฤษฎีสมคบคิดว่า Ryan คือผู้อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งตัวจริง เพราะความหึงหวงได้รับรู้ที่ความสนิทชิดใกล้ของภรรยาคนสวยและผู้กำกับ

แม้จะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า การก้าวสู่กระบวนการทางกฎหมายจะลงเอยด้วยผลลัพธ์แบบใด แต่ข่าวลือไร้หลักฐานที่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วในขณะนี้ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของ Blake และ Ryan จนไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่จะกอบกู้ชื่อเสียงดีๆกลับคืนมาในเร็ววัน ตราบใดที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมที่จะสร้างจุดเปลี่ยน


หรือจะเป็นนักแสดงสาว Jennie Slate ที่ร่วมทำงานในหนัง It Ends With Us ที่ต้องรับมือกับ hate comments ไม่ต่างกัน เนื่องจากเธอแสดออกว่าสนับสนุน Blake อย่างเต็มที่ และการหยิบยกชื่อของ Taylor Swift มาพัวพันกับดราม่าครั้งนี้ก็ทำให้แฟนๆบางคนรู้สึกไม่สบายใจที่นักร้องสาวขวัญใจจะถูกมองในแง่ร้ายตามไปด้วย แม้แต่ Colleen Hoover ผู้ประพันธ์นิยาย It Ends With Us ต้นฉบับของหนังเรื่องนี้ก็ปิดบัญชี Instagram ซึ่งสันนิษฐานกันว่า เป็นการตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากสังคมออนไลน์ เนื่องจากเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ออกมาชื่นชมสนับสนุน Blake Lively และอาจจะได้รับผลกระทบจาก hate comments เช่นเดียวกัน


คาดการณ์ว่า ฝ่าย Justin อาจจะต้องเจ็บหนัก

ถึงตอนนี้พวกเราต่างเพียงได้รับรู้การส่งคำแถลงการณ์ที่เหมือนกับการแลกหมัดอย่างดุเดือดระหว่างทนายของทั้งสองฝ่าย และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า พวกเค้าจะตัดสินใจก้าวเข้าสู่การพิจารณาคดีอย่างเต็มรูปแบบหรือจะยุติข้อพิพาทลงได้ด้วยการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงนอกศาล ซึ่งการต่อสู้ทางกฎหมายอาจจะกินเวลายาวนานไม่ต่างจากคดี Johnny Depp VS Amber Heard

ในขณะนี้ Justin ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใหญ่หลวง โดยเฉพาะเมื่อ cancel culture มีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน นักลงทุนและสตูดิโอไม่อาจเสี่ยงกับการว่าจ้างผู้กำกับ/พระเอกที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศจนกลายเป็นข่าวใหญ่โต ชาวเน็ทจำนวนมากอาจจะรุมประนาม Blake และ Ryan และเทคะแนนความเห็นใจไปที่ Justin แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อว่า เขาไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องที่ถูกคนดังระดับ high profile ใส่ร้าย ชื่อเสียงที่มัวหมองอาจจะทำให้หน้าที่การงานของ Justin ถูกแช่แข็งไปอีกนาน หรือร้ายสุดก็ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีก เพราะแม้แต่ Johnny Depp ที่ได้รับกำลังใจจากแฟนๆอย่างล้นหลามก็ต้องผจญกับแรงกดดันเมื่อถูก boycott จาก Hollywood และหันไปรับงานแสดงและกำกับหนังในยุโรปที่ทำให้เขาสบายใจมากกว่า แต่กรณีของ Justin แตกต่างออกไปตรงที่เขาไม่ใช่พระเอกหรือนักสร้างหนังทรงอิทธิพลที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน การฟ้องหมิ่นประมาททั้ง The New York Time และ Blake & Ryan ในระหว่างที่เขาไม่มีงานใหม่ๆเพื่อเพิ่มพูนรายได้อาจจะทำให้พานพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก

  

Discussion (7)

อ่านที่คนคอมเมนท์ว่าเบลคจะเป็นแอมเบอร์คนถัดไป เค้าไม่ได้พูดถึงในเชิงบริบทที่ว่าเบลคจะตกเป็นเหยื่อนะคะ แต่มันคือการเป็นคนโกหก และให้ร้ายผู้ชายแบบแอมเบอร์ โดยมีคนพร้อมจะเชื่อผู้หญิงสวยไว้ก่อนค่ะ อันนี้เท่าที่สัมผัส energy ของคอมเมนท์
ขอบคุณค่ะ
ละเอียดอ่อนมาก ขอบคุณค่ะ (: