ความน่าสะพรึงกลัวของการลงทัณฑ์จากสังคมเกาหลี

เรื่องราวของ 'คิม แซรน' ดวงดาวที่ดับสูญไปจากวงการบันเทิงเกาหลีได้จุดประเด็นข้อถกเถียงเรื่องการลงทัณฑ์ทางสังคมอันรุนแรงกว่าเหตุ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้แก้ตัวใหม่ ผลักไสผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทนไร้ทางออก เมื่อเกิดเหตุการณ์สูญเสียโดยที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขขึ้นมา หลายคนกลับระบายความโกรธด้วยการโยนความผิดให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่จะมีใครบ้างที่ลุกขึ้นมาสร้างจุดเปลี่ยนเพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องราวซ้ำเดิม?

การชดใช้ความผิดที่ดูไร้ความหมายในสายตาหลายคน


ในระหว่างการตัดสินคดี อัยการได้ประกาศว่า แม้คิม แซรนจะขับรถในขณะมึนเมาและหนีไปจากจุดเกิดเหตุ แต่เธอได้ยอมรับผิดและพยายามชดใช้ให้กับผู้เสียหาย จึงขอให้ศาลตัดสินโทษปรับ 20 ล้านวอน การรับโทษทางอาญาดังกล่าวยังไม่ทำให้ผู้คนพอใจกันได้หมด ทั้งๆที่เธอก้าวสู่จุดตกต่ำอย่างเต็มตัว แต่ก็ยังถูกเพ่งเล็งวิถีการดำเนินชีวิตยาวข้ามปี

มีผู้ปล่อยข่าวโจมตีว่า เธอไม่ได้รู้สึกผิดหรือพยายามปรับปรุงตัวเองดังที่แสดงออกต่อหน้าสื่อ เพราะเพียงสองเดือนหลังถูกตั้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ นางเอกสาวก็จัดงานฉลองวันเกิดที่สังสรรค์ด้วยเครื่องดื่มมึนเมาแทนที่จะเก็บตัวสำนึกผิด ชาวเน็ทยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของเธอว่า เป็นเพียงการเสแสร้งสวมบทบาทดาราตกอับเพื่อดึงคะแนนความเห็นใจจากมวลชน แต่กลับปรากฏภาพของเธอในขณะร่วมวงเล่น poker อย่างสบายใจ (ในเวลาต่อมา มีรายงานจาก Dispatch ว่า คลับเล่น poker ดังกล่าวไม่ใช่สถานที่เล่นพนันผิดกฎหมายและใช้ชิปเพื่อแลกอาหารเครื่องดื่ม ไม่สามารถขึ้นเงินได้) และแทบไม่ต้องเดาเลยว่า สื่อเกาหลีหลายเจ้าจะพาดหัวข่าวด้านลบของเธอเพื่อดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน ส่งผลให้เธอถูกมองในฐานะนางเอกสุดฉาวโฉ่ที่ชาวเน็ทรุมเย้ยหยัน เมื่อเธอพยายามกลับคืนสู่วงการด้วยงานแสดงละครเวทีก็เกิดกระแสวิจารณ์ต่อต้าน ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเธออย่างรุนแรงจนต้องถอนตัว

ไม่นานหลังจากที่คิม แซรนจากโลกนี้ไป มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ Kukmin Ilbo ว่า นางเอกสาวเดินทางไปขอโทษเจ้าของร้านค้าและคาเฟ่ 57 แห่งด้วยตัวเองพร้อมเยียวยาค่าเสียหาย ร้านเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากไฟดับยาว 4 ชั่วโมงหลังจากที่เธอขับรถในขณะมึนเมาจนพุ่งชนหม้อแปลงไฟฟ้า ข้อมูลใหม่นี้ทำให้ชาวเน็ทหลายคนเชื่อว่า สื่อเกาหลีปฏิบัติกับคิม แซรนอย่างไร้ความเป็นธรรม ในขณะที่พวกเค้าครอบครองข้อมูลจากพยานและผู้เสียหายอยู่ในมือ กลับไม่นำเสนอข่าวอย่างครบถ้วนตรงไปตรงมา มุ่งสร้าง engagement ด้วยข่าวแง่ลบของนางเอกสาว แต่ไม่ยอมเผยแพร่ความเป็นจริงที่เธอพยายามพิสูจน์ความจริงใจในการชดเชยความผิดด้วยการขอโทษผู้เสียหายด้วยตัวเอง ซึ่งหากสาธารณชนรับรู้เรื่องนี้มาก่อน ก็อาจจะมีคนที่เห็นใจเธอมากกว่านี้ก็เป็นได้

 Netizens และสื่อโบ้ยความผิด "แซรนจากโลกนี้ไปเพราะใครกันแน่?"



  • คนกลุ่มหนึ่งกล่าวโทษอี จินโฮ เจ้าของช่อง Youtube @Behind_Master run ว่า เป็นผู้ผลักไสคิม แซรนไปสู่ความตาย เพราะเขาปล่อยข่าวโจมตีเธอมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดื่มเหล้าหลังจากถูกลงโทษข้อหาเมาแล้วขับและพยายามเรียกความสงสารจากสังคมด้วยการสร้างภาพว่าต้องทำงานในคาเฟ่เพื่อล้างหนี้สิน และยังกล่าวหาว่า เธอไม่ได้ทบทวนการกระทำของตัวเองอย่างจริงใจและขาดความรับผิดชอบในฐานะบุคคลสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อผู้นำองค์กร Korea Celebrity Suicide Prevention Association ได้เปิดเผยข้อมูลจากการพูดคุยกับพ่อของนางเอกผู้วายชนม์ว่า ลูกสาวของเขาต้องประสบกับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักหลังจากได้ชมวีดีโอของ Youtuber รายหนึ่ง เพิ่มความมั่นใจให้กับชาวเน็ทว่า จะต้องหมายถึงช่องของอี จินโฮแน่นอน

  • หลายคนโทษสื่อที่แพร่กระจายเรื่องราวด้านลบของคิม แซรน แม้ว่าเธอจะได้รับการตัดสินโทษจากศาลและชดเชยความผิดไปแล้วและไม่ได้ก่อความผิดซ้ำรอยเดิม แต่วิธีพาดหัวแบบ click-bait จุดกระแสต่อต้านจนใครๆต่างมองเธอในแง่ร้ายอย่างฝังใจ Hankook Ilbo หนังสือพิมพ์รายวันชื่อดังได้ยืนยันว่า สื่อเกาหลีเป็นหนึ่งตัวการสำคัญของปัญหา และประนามสื่อที่ใช้ถ้อยคำปลุกปั่นเพื่อดึงยอดคลิกเข้าชมเพิ่มขึ้น

  • พิษภัยของ cancel culture ในสังคมเกาหลีที่ไม่ยอมให้โอกาสคนดังที่เคยก้าวผิดพลาดได้เริ่มต้นใหม่ เรียกได้ว่า หากหลงผิดไปสักครั้ง ก็ไม่ต่างจากการตอกตะปูปิดฝาโลง ไม่เพียงแต่จะถูกแบนยาวจนรายได้หดหาย ค่าปรับจากเอเจนซี่และแบรนด์ที่ยกเลิกสัญญาก็พอกพูนจนแทบจะมองไม่เห็นทางชดใช้หนี้ แม้จะพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตอย่างสุจริตชนเพื่อจะหวนคืนสู่เส้นทางบันเทิง แต่สื่อ-ชาวเน็ทก็ไล่ตามจับผิดอย่างหนักทุกการเคลื่อนไหว ราวกับว่า ผู้คนเหล่านั้นมีความสุขที่ได้เห็นคนดังที่เคยกระทำความผิดถูกอัปเปหิจากวงการบันเทิง และจะสะใจยิ่งกว่าหากจมปลักกับความตกต่ำอย่างถาวร ไม่สามารถหวนกลับมาสร้างความสำเร็จหรือใช้ชีวิตที่เลิศเลอดังในวันวาน

  • นักร้องสาว MIGYO ได้ฟาดฟันชาวเน็ทและสื่ออย่างไม่ไว้หน้าว่า "กว่าพวก haters จะยอมเลิกรากันได้ ก็ต้องมีคนสังเวยด้วยความตาย คนพวกนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า พวกเค้านั่นแหละที่เป็นคนฝากข้อความเกลียดชังเอาไว้ พวกสื่อก็ไม่ต่างไปจากกัน พวกเค้าตามขุดคุ้ยเรื่องฉาว พาดหัวข่าวยั่วยุเพื่อสร้าง clickbait ปั้นแต่งเรื่องราวไม่เป็นจริงขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจ แต่เมื่อชีวิตของคนๆหนึ่งต้องจบสิ้นไป พวกเค้าแสดงท่าทีราวกับไม่ได้เป็นสาเหตุเกี่ยวข้อง เสแสร้งแกล้งทำเป็นพวกมีศีลธรรมจรรยาและมันช่างน่ารังเกียจ  มีแต่ผู้วายชนม์เท่านั้นที่ต้องทุกข์ทรมาน"
 



ยากที่จะได้เห็นคำว่า second chance ในวงการบันเทิงเกาหลี

นายแพทย์นา จองโฮ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ Yale School of Medicine และเป็นที่รู้จักในเกาหลีจากการเข้าร่วมรายการ You Quiz on the Block ได้ส่งคำเตือนว่า ถึงเวลาแล้วสังคมเกาหลีจะต้องเจรจาหาทางออกและคิดทบทวนตัวเอง

"พฤติกรรมเมาแล้วขับเป็นการกระทำผิดร้ายแรง แต่ถ้าคิดว่าบทลงโทษเบาเกินไป ปัญหาจะอยู่ที่ตัวกฎหมายมากกว่า อย่างไรก็ตาม สังคมที่เหยียบย่ำกันโดยที่ไม่ยอมเปิดให้โอกาสคนที่เคยกระทำความผิดได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองนั้นไม่ใช่สังคมที่น่าอยู่ การทอดทิ้งผู้ที่เคยทำผิดพลาดไว้ด้านหลังทำให้นึกถึง Squid Game ที่เกิดในชีวิตจริง"

จิตแพทย์นายังฟันธงว่าคิม แซรนต้องจบชีวิตเพราะเธอถูกผลักไสให้ไปจนมุมบนปากหุบเหว ข่าวคราวท้ายสุดเกี่ยวกับนางเอกผู้วายชนม์ที่เขาได้ยินคือ เธอต้องทำงานพาร์ทไทม์เพราะประสบปัญหาทางการเงิน เขาได้เห็นชาวเน็ทกระหน่ำคอมเมนท์โจมตีเธอที่บทความนั้นและยังตามไปถล่มถึงเพจคาเฟ่ที่เธอเป็นพนักงาน เขาจึงตั้งคำถามแทงใจว่า

"ต้องสูญเสียกันไปอีกสักกี่ชีวิต สังคมจึงจะเลิกยัดเยียดความอัปยศให้กันจนไม่มีพื้นที่ให้หายใจ"



ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่า ความคาดหวังจากมวลชนให้บุคคลที่มีชื่อเสียงวางตัวอย่างเป็นเลิศไร้ที่ติกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ผลักไสคนดังเกาหลีไปสู่จุดจบสุดสะเทือนใจ

การเสียชีวิตของอี ซ็อนกยุนเมื่อปลายปี 2023 ทำให้หลายฝ่ายหันมาหารือกันถึงปัญหาที่เกิดจากวิธีคิด toxic ที่พร้อมจะเหยียบย่ำคนดังที่เคยละเมิดกฎหมายแบบไม่ให้ผุดให้เกิด การกระทำผิดนั้นจะไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงเกินเยียวยา แต่หากเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์สุจริตชนตามบรรทัดฐานชาวเกาหลี ถึงคนดังจะก้มหัวขออภัยและยืนยันว่าจะปรับปรุงแก้ไขตัวเองสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะได้รับการยอมรับชื่นชมอีก จากที่ยืนหนึ่งเป็นที่รักของมวลชน อาจจะกลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกรุมเกลียดชัง 

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้สังคมปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อคนดังที่ถูกดำเนินคดีเมาแล้วขับและยาเสพติด แทนที่ใช้ความคิดแบบเหมารวม ก็ควรเปิดใจให้อภัยและหยิบยื่นโอกาสกับผู้ที่เคยทำผิดพลาดได้ใช้บทเรียนนี้ปรับปรุงตนเองเพื่อก้าวสู่เส้นทางของทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าในสังคมอีกครั้งหนึ่ง

ทว่า..เหตุการณ์น่าสลดใจก็กลับมาซ้ำรอยเดิม


หลังจากแสงไฟแห่งชีวิตของนางเอกสาววัย 24 ที่ควรจะโชติช่วงไปอีกยาวนานต้องดับมืดลงไป เพื่อนร่วมวงการต่างออกมาไว้อาลัยและพูดถึงเรื่องราวดีงามของผู้วายชนม์ จากเดิมที่คิม แซรนถูกมองในแง่ลบมาเกือบสามปี กลับกลายเป็นว่า ชาวเน็ทหันมาเห็นอกเห็นใจเธอที่พยายามเต็มที่เพื่อชดเชยความผิดและดิ้นรนหารายได้มาใช้หนี้สินก้อนโต แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคการ boycott ที่หนักหนาสาหัส บรรดาสื่อ gossip หันมานำเสนอพิษภัยของการแพร่กระจายความเกลียดชังในสังคมออนไลน์ที่บีบคั้นให้คนดังไร้ที่ยืนในสังคม ราวกับว่า พวกเค้าไม่เคยพาดหัวข่าวชี้นำให้ผู้คนตามรุมกระหน่ำโจมตีคิม แซรนมาก่อน เมื่อปฏิกิริยาจากมวลชนเกิดความเปลี่ยนแปลง ผู้กำกับ Everyday We Are ซีรีส์ที่เธอนำแสดงซึ่งได้รับผลกระทบจากคดีเมาแล้วขับจนต้องระงับการฉายออกมายืนยันกับสื่อว่า มีกำหนดการจะออนแอร์ภายในปลายปี 2025

แต่คิม แซรนก็ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ยินคำพูดดีๆเกี่ยวกับตัวเธอและปลาบปลื้มกับผลงาน comeback ได้อีกแล้ว...



ในขณะที่ชาวเกาหลียังติดตามสนับสนุนผลงานของดาราศิลปินจากตะวันตกที่มีประวัติต้องคดี แต่การเปิดใจยอมรับคนดังสัญชาติเดียวกันที่ละเมิดกฎหมายกลับเป็นเรื่องยากเย็น

ครั้งหนึ่ง Keanu Reeves พระเอกที่เป็นที่รักของผู้คนมากมายเคยถูกจับด้วยความผิดฐานขับขี่ขณะมึนเมาและขับขี่โดยประมาท หรือจะเป็นพระเอกทรงเสน่ห์อย่าง Chris Pine และนักว่ายน้ำระดับตำนาน Michael Phelps ก็เคยยอมรับผิดในคดีเมาแล้วขับมาแล้วเช่นกัน

Robert Downey Jr. เคยประสบปัญหาติดสารเสพติดอย่างหนัก วนเวียนเข้ารักษาตัวในสถานบำบัดและถูกตำรวจจับกุม รวมถึงข้อหาเมาแล้วขับ จนในที่สุดก็ถูกผู้พิพากษาตัดสินโทษจำคุก

Lindsay Lohan เคยถูกมองเป็นนางเอกเจ้าปัญหา ทั้งติดสุรายาเสพติด เมาแล้วขับ และอีกสารพัดดราม่า ทำให้หลายฝ่ายฟันธงว่า อนาคตในวงการดับวูบจนยากจะกลับมารุ่งโรจน์ได้เหมือนเดิม

พวกเค้าเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้ผู้คนได้เห็นว่า ตราบใดที่สังคมยังมอบโอกาสให้กลับตัวใหม่ ก็สามารถนำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอดีตมาเป็นบทเรียนในการก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการพัฒนาตัวตนให้ดีกว่าเดิม

Discussion (6)

ขอบคุณค่า
ตอนนี้เป็นห่วงยูอาอิน ยังดีว่าศาลเห็นใจ ลดโทษให้
น่าสงสารน้องนะคะ สังคมเกาคือกดดันมากจริง
ขอบคุณที่มาแชร์ค่า