เรืองเล่าทริปภาคเหนือ 1

ช่วงปีใหม่เทศกาลหยุดยาว ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรานานๆ จะได้มีโอกาสเที่ยวไกลๆแบบไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีใครโทรตามงานซักที จึงไม่แปลกว่าพอเทศกาลวันหยุดยาวๆ คนที่ไม่มีโอกาสได้ลางานง่ายๆ จะมีความสุขมากแค่ไหนที่จะได้ไปเที่ยวกับครอบครัว  คนรัก เพื่อน แม้จะต้องแลกกับการที่จะต้องไปเบียดเสียด แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยวก็ตาม ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้นแม้จะไม่โปรดปรานการเที่ยวแบบนี้เลย

ภาคเหนือ เป็นที่ที่หลายๆ คนเลือกที่จะเดินทางมาพักผ่อน มาสัมผัสบรรยากาศอันหนาวเย็น ที่หาไม่ได้ในกรุงเทพ ซึ่งพวกเราก็ตั้งใจทีจะมาสัมผัสอากาศหนาวแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยเริ่มคุยเรื่องทริปกับน้องๆที่เดินทางด้วยกันว่า อยากมาเที่ยวเหนือตอนช่วงปีใหม่ แต่ก็ไม่อยากจะเจอคนเยอะๆ ทำไงดี มานั่งคิดนอนคิด เจ้ากอล์ฟน้องในทีมก็เสนอมาว่าเรามีเวลาทั้งหมด 5 คืน งั้นเราเริ่มเที่ยวไปตั้งแต่จังหวัดตากกันเลยดีมั้ย อืม จังหวัดตากฟังชื่อแล้วน่าสนใจเพราะเรา ก็ไม่เคยไป เลยตัดสินใจตามแผนการว่า ในคืนแรกของการเดินทาง เราจะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชจังหวัดตาก


การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นขึ้นในวันสิ้นปี เช้าที่สดใส ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางออกต่างจังหวัดกันไปบ้างแล้ว แต่ถนนก็ยังมีรถร่วมทางไปกับเราค่อนข้างคึกคัก จากที่เคยขับกรุงเทพ - นครสวรรค์ 2 ชั่วโมงก็กลายเป็น 3 ชั่วโมง ปั๊มน้ำมันข้างทาง ที่เคยเงียบเหงา กลายเป็นมีรถเข้าแน่นทุกปั๊ม 7-11 บางแห่งของหมด คนค้าขายช่วงนี้ก็หน้าบานนับเงินกันไป  กว่าจะถึงอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชก็เป็นเวลาบ่ายๆ โชคดีที่พวกเราเดินทางมาถึงไม่ช้ามากนัก อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชที่เราเคยคาดการณ์ว่าคนไม่น่าจะเยอะ เพราะดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ กลายเป็นว่าถ้าเรามาช้ากว่านี้้อีกสัก 2 ชั่วโมงเราคงหาที่กางเต๊นท์ยากแน่ๆ จากที่คิดว่ามาถึงแล้วเราจะขับรถไปดูต้นกระบากใหญ่เลยเปลี่ยนใจ ไปปั๊มพาสปอร์ตแทน

หลายๆคนอาจจะงง เอ๊ะพาสปอร์ตอะไรทำไมมาปั๊มที่อุทยานเพี้ยนไปรึเปล่าเจ๊ เค้าปั๊มกันที่ ต.ม ไม่ใช่เหรอ!!!! เจ้าพาสปอร์ตที่ว่านี่คือพาสปอร์ตสำหรับไว้ประทับตราอุทยานค่ะ พูดง่ายๆว่ามันเป็นของสะสมสำหรับคนชอบเที่ยว เพื่อที่จะได้รับการยืนยันว่าเราไปเที่ยวมาแล้วจริงๆ จะได้มีเก็บไว้ให้ลูกหลานดู ว่าเราก็เคยมาเที่ยวไงคะ

 


 

ค่ำคืนแรกของการเดินทางเราพึ่งพาอาหารภายในอุทยาน มีร้านค้าต่างๆ มาขายกันจำนวนมาก อากาศที่นี่เย็นสบาย คืนนี้มีกิจกรรมพิเศษที่ทางอุทยานจัดขึ้น คือการเต้นรำของชาวเขาซึ่งมีอยู่ 3 เผ่า มีปะปากะญอ มูเซอดำ และม้ง เป็นการเต้นรำประจำของแต่ละเผ่า จบการแสดงประมาณเกือบ 24.00 น.ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็เริ่มเคาท์ดาวน์เพื่อเข้าสู่ปีใหม่พร้อมๆกัน พร้อมกับกล่าวสวัสดีปีใหม่เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ไปพร้อมๆกัน
 



การเต้นรำของชนเผ่ามูเซอ

เริ่มเช้าวันใหม่หลังจากอาบน้ำและเก็บเต๊นท์กันเรียบร้อย หาอาหารใส่ท้องเพื่อเพิ่มพลังงาน เราก็เดินทางไปดูต้นกระบากใหญ่ ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่ ขับเราเข้าไปประมาณ 2  ก.ม แล้วเดินลงไปอีก 500เมตร ระหว่างที่เดินทางลงไป เราก็เริ่มเห็นแล้วว่าทางที่จะเดินไปนั้น เป็นทางลงเขาค่อนข้างชัน ระหว่างทาง ที่มีคนเดินผ่านขึ้นมาทุกคนเหนื่อยหอบและนั่งพักกันตลอดทาง แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นก็ทำให้เราเดินทางไปถึง แล้วพอขากลับ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครั้งเดียว พอ 5555



ต้นใหญ่เหมือน Home Tree ใน Avatar เลย

ชักภาพสักนิด ยืนยันอีกทีว่าเคยมาแล้วนะ
 

 

เป้าหมายของเราในการเดินทางวันที่ 2 คืออุทยานแห่งชาติแม่เมย เจ้ากอล์ฟบอกว่า ที่นี่สวยมาก ทะเลหมอกตอนเช้าก็แน่น ป่าก้ยังสมบูรณ์ บลา บลา อืม ไปก็ไป แต่ที่นั่นตรงที่เราจะกลางเต๊นท์ไม่มีอาหารขายนะครับ เราต้องทำอาหารกินเอง โอเค เพื่อให้ได้บรรยากาศแคมป์ปิ้ง เราตกลงกันว่าคืนนี้เราจะปรุงอาหาร เริ่มภาระกิจแรกด้วยการไปช้อปปิ้งอาหารสดที่ตลาดแม่สอด เดินเข้าตลาดแม่สอดครั้งแรกตกใจ เฮ้ย!!!นี่มันประเทศไทยหรือพม่าวะเนี่ย ทำไมไม่เห็นมีคนไทยมา ขายของเลย แถมจะเดินหาเครื่องต้มยำ ข่า ตระไคร้ ใบมะกรูดนี่แทบ จะพลิกตลาดหาเลย งง คนแม่สอดเค้าไม่กินต้มยำกันหรือไงนะ ทำไมถึงหายากเหลือเกิน จะเดินหาเห็ดไปใส่ต้มยำก็หาไม่ได้นะร้านขายผักใหญ่ๆ ที่วางเรียงราย ขายของกัน ไม่มีเห็ดขายซักร้าน อืมมม ใครรู้พอจะตอบได้มั้ยคะว่าทำไม เราข้องใจมากก  ^^ 

กว่าจะหาของเสร็จก็เกือบบ่าย  ขับรถมาเรื่อยๆจนมาถึงอำเภอท่าสองยาง เราก็เห็นบ้านทีเรียงรายสร้าง ด้วยไม้ หลังคามุงจาก สร้่างเรียงติดกันเป็นร้อยๆหลังมีรั้วกันให้บ้านเหล่านั้น อยู่ร่วมกัน  ไม่ให้ออกมารุกรานสู่ภายนอก จากสายตาที่มองเห็นคร่าวๆ น่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก กลับมาจึงได้รู้ข้อมูลว่าภาพที่เราเห็นนั้น คือศูนย์อพยพแม่หละ มีผู้อพยพอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 30,000 คน บ้านที่เราเห็นหลังคาเกยกันอยู่กันอย่างเบียดเสียด ชีวิตของผู้อพยพ ที่มีแค่บ้าน อาหารที่ได้จากการบริจาค ห้ามออกมาสู่โลกภายนอกทั้งๆที่มีแค่รั้วกั้นไว้ ไม่มีรูปมาให้ดูเพราะคนขับไม่จอดแล้วก็รู้สึกเห็นใจผู้อพยพเหล่านั้นจริงๆ


แล้วเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติแม่เมย เราแวะซื้อน้ำบริเวณที่ทำการอุทยาน จ่ายค่าเข้าอุทยาน และค่ากางเต๊นท์ สอบถามข้อมูลเจ้าหน้าที่ ว่าจุดกางเต๊นท์ที่ไหนสวย ได้ข้อมูลมาว่า ถ้าจุดกางเต๊นท์สวยสุด คือม่อนครูบาใส สวยแต่ไมมีห้องน้ำ กับอีก 1 ที่ คือม่อนกิ่วลม เป็นจุดสำหรับชมทะเลหมอกตอนเช้า ที่กางเต๊นท์ ไม่สวยเท่าม่อนครูบาใส แต่มีห้องน้ำ แล้วตอนเช้าตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกได้เลยได้ยินแค่นี้ก็เลือกได้ไม่ยากค่ะผู้หญิงอย่างเราจะมีเรื่องไหนลำบากเรื่องการเข้าห้องน้ำไม่มีแล้ว



กางเต๊นท์ที่ม่อนกิ่วลม




พระอาทิตย์ตกที่ม่อนครูบาใส



ลานกางเต๊นท์ม่อนครูบาใส

แสงทไวไลท์ข้างทาง ที่อช.แม่เมย

หลังจากไปดูพระอาทิตย์ตกดิน กลับมาแล้วเราาก็ได้รับข่าวร้าย ว่าน้ำในแทงค์สำหรับใช้เข้าห้องน้ำหมด ไม่มีแม้แต่น้ำสำหรับทำธุระหนัก- เบา ห้องน้ำที่จะสามารถใช้ได้คือ Emergency Toilet  (คิดถึงส้วมจีนได้เลย ตามนั้น ) กลับมาทำอาหารแบบ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เราพยายามไม่กินน้ำเยอะ เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำ แถมตอนกลางคืนมีอาเจ็ก ของหลานๆที่ไหนไม่รู้มาโม้ให้หลานฟัง จนดึกดื่น ฟังแรกๆก็ขำดี ก็จะไม่ให้ขำได้ไง อาเจ็ก แกบอกว่าไอน์สไตน์โง่ !!!! โอวเจ็กคะเจ๊กคงเป็นคงเก่งมากแน่ๆ  5555 แถมดึกๆมีสอนแกรมมาร์ภาษาอังกฤษด้วย เลยผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างทรมานจริงๆ

พระจันทร์เต็มดวงที่ดอยกิ่วลม


เช้านี้มีแขกมาปลุกเราแบบไม่ได้ตั้งใจแต่เช้า แขกที่ว่าก็คือนักท่องเที่ยวที่เค้าขับรถมาจากด้านล่าง เพื่อขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอก และบริเวณที่เรานอนอยู่นั้นก็ติดกับป้าย สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเสียงแรกที่ได้ยิน อุ๊ยๆ มาถ่ายรูปกันตรงป้ายเถอะ  เธอทำท่านั้นสิ ท่านี้สิ เดี๋ยวนะเปิดแฟลชก่อน บลา บลา เรา เริ่มทำเสียงหงุดหงิดมาจากในเต๊นท์ คนกลุ่มนั้นก็เหมือนจะเริ่มสำนึกว่าส่งเสียงรบกวนคนอื่น แต่สักพักก็กลับมา ทำเสียงดังเหมือนเดิม ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้่า เ้พิ่งจะได้นอนตอนตีสองเพราะทนฟังเจ็กสอนอังกฤษหลานๆอยู่ เลยตัดสินใจตรูตื่นก็ได้วะ


 

เราโดนล้อมเต๊นท์ไว้หมดแล้ว


เช้านี้เราตืนมาพร้อมกับความผิดหวังนิดๆ เพราะเรารู้มาว่าที่นี่ทะเลหมอกสวยดูตรงไหนก็ได้ไม่ต้องแย่งกันดู แต่เช้านี้สิ่งที่เราเจอคือ ทะเลหมอกจางๆ ที่ไม่แน่นเหมือนที่เคย จะโกรธธรรมชาติก็ไม่ได้เพราะการที่เราจะได้เห็นอะไรสวยๆบางทีมันก็ต้องใช้เวลาเฝ้ารอ แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น เราอยากเที่ยวเยอะๆ เที่ยวหลายๆที่ เราก็เลยพลาดโอกาสแบบนี้แหละ 


--------------------------------------------------------------


To be Continued

                                                                                

 

 

 

Discussion (24)

ยังไม่เคยไปที่นี่แฮะ ดูแล้วสวยน่าไปเชียว
อ่านแล้ว กิเลศพุ่งปรี๊ด แต่ไปเที่ยวแบบนี้ ต้องพกน้ำล้างหน้าไปเอง กลัวหน้าแหกอีก -*-
อยากไปบ้างงง อิจฉา รอภาคต่อไป  กรี๊ดๆ จ้า
เห็นแล้วอยากไปมากกก ชอบธรรมชาติแบบนี้จง
รอภาคต่อนะจ๊า
อยากไปจิงๆให้ดิ้นตาย