AHA

เพิ่งซื้อค่ะแบบ 5% แล้วพี่ที่ร้านบอกให้ทาทุกวันก่อนนอนได้เลย

อยากรู้ว่าได้จริงป่าวกลัวมีผลเสีย

แนะนำวิธีใช้หน่อยน่ะค่ะ...ขอบคุณค่ะ

Discussion (4)

aha 5% ทาทุกวันได้ค้ะ
แต่ทาแค่ตอนกลางคืนน้ะ

:)))
ลองศึกษาข้อมูลตรงนี้ดูนะคะ หวังว่าคงพอให้ข้อมูลได้บ้าง รายละเอียดที่มากกว่านี้ต้องต้องการเจาะลึกจริง เข้าไปหาอ่านเพิ่มในลิ้งค์บล๊อคของคุณปูเป้ที่ให้ได้นะคะ

AHAs (Alpha Hydroxy Acids) :

สารที่อยู่ในกลุ่มของ AHAs นั้นมีมากมายหลายตัว แต่ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็คือ Glycolic Acid และ Lactic Acid โดยที่ Glycolic Acid เป็นรูปแบบของ AHAs ที่มีประสิทธิสูงสุดเนื่องจากมันมีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด

นอก จากช่วยผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพแล้ว AHAs ยังช่วยให้กระบวนการ Skin Cell Turnover ดีขึ้นและยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลาเจนในผิวชั้นกลางได้อีกด้วย (ถ้าใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม) นอกจากนี้ AHAs ยังมีคุณสมบัติเป็น Water-binding Agent ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นได้อีกด้วย

การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA  ให้ได้ประสิทธิผลสูงสุดนั้นต้องคำนึงถึงสามปัจจัยหลัก ๆ คือ “ค่า pH” “ความเข้มข้น” และ “เนื้อของผลิตภัณฑ์” นอกจากนี้ก็ยังต้องปราศจากสารก่อการระคายเคืองหรือมีน้อยที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ เนื่องจากการ Exfoliate ผิวจะทำให้ผิวไวต่อปัจจัยลบมากเป็นพิเศษ

ค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง นั้นสำคัญมากถ้าคุณคิดจะใช้ AHAs สารกลุ่มนี้จะ ทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นมีค่า pH ประมาณ 3 – 4 โ ดยค่า pH ที่ทาง FDA กำหนดว่าเหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางก็คือ 3.5

ค่า pH ที่ต่ำกว่า 3 จะมีความเป็นกรดมากเกินไปจนทำให้ผิวคุณระคายเคืองได้มากซึ่งจะก่ออันตรายกับผิว

ค่า pH ที่มากกว่า 4.5 ทำให้ AHAs  มีประสิทธิภาพน้อยหรือไม่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิว (แต่ AHAs ก็ยังคงมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้น  โดยอยู่ในเงื่อนไขว่ามันต้องมีในความเข้มข้นที่เหมาะสม)

ความเข้ม ข้นของ AHA ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ประจำวันก็คือ 5 – 15 % โดยทาง FDA ระบุว่าผลิตภัณฑืที่ใช้กับผิวหน้าไม่ควรมี AHAs เข้มข้นเกิน 10 % และสำหรับผิวกายไม่ควรมี AHAs เกิน 15 % หากคุณพึ่งเริ่มต้นใช้ AHAs เป็นครั้งแรกหรือมีผิว Sensitive ก็ควรเลือกความเข้มข้นที่ต่ำหน่อย เพราะความเข้มข้นที่สูงขึ้นก็หมายถึงโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองหรือผลข้าง เคียงก็เพิ่มขึ้นด้วย

AHAs ควรจะอยู่ในรูป ของน้ำ เจล หรือเซรั่มจะดีที่สุดเนื่องจากสารกลุ่มนี้ละลายในน้ำ เบสโลชั่นหรืออีมัลชั่นก็ยังพอไหว แต่การใช้ AHAs ในเบสครีมที่เข้มข้นนั่นจะทำให้ AHAs ซึมลงผิวได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เนื่องจากค่า pH มีผลมากต่อประสิทธิภาพของ AHA เราจึงควรทา AHA และปล่อยให้มันทำงานก่อนสัก 10 - 20 นาทีแล้วค่อยทาเซรั่มหรือครีมบำรุงทับลงไป เพราะปกติแล้วครีมบำรุงผิวจะมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5 - 6 หากทาทับ AHA ทันทีก็จะไปทำให้ค่า pH สูงขึ้นจนลดประสิทธิภาพของ AHA ลงไป

ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับเรื่อง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วย Exfoliate ผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA ว่าจะทำให้ “หน้าบาง” ลงนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

สารอย่าง AHA จะไป Exfoliate เฉพาะเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหรือขี้ไคลออกไปเท่านั้น ไม่ได้ไปลอกเอาผิวหนังในชั้นที่ลึกกว่านี้ออกไป ในทางกลับกัน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA เข้มข้นเหมาะสม จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลาเจนในผิวชั้นกลางได้ (ซึ่งดูแล้วจะทำให้ผิวหนาและแน่นขึ้นซะมากกว่า)

แน่นอนว่าผิวชั้นขี้ ไคลที่สะสมจนหนาตัวนั้นก็มีประโยชน์ในการปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกและแสงแดด ได้เหมือนกัน การไปลอกเอาขี้ไคลออกก็ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและปัจจัยลบภายนอกมากกว่าตอนที่ ยังไม่ได้ Exfoliate ผิว ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกว่าโดนแดดมากเหมือนเดิมไม่ได้ รู้สึกแสบผิว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผิวคุณบางลง...

คุณก็ต้องมาเลือกเอาเองว่า อย่างไหนจะให้ประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน ถ้าคุณคิดว่าการ Exfoliate ไม่ดีกับผิว ทำให้ผิวไวแสงมากขึ้น คุณก็ไม่ต้องมาบ่นว่าทำไมผิวหมองคล้ำไม่สดใสหรือเป็นสิวอุดตันง่าย

ความ จริงในข้อนี้ก็สามารถอธิบายความเชื่อที่ว่า “ไปหาหมอ ใช่ยาหมอแล้วหน้าบาง” ได้เหมือนกัน เพราะว่ายารักษาสิวที่มีประสิทธิภาพส่วนใหญ่จะเป็น Keratolytic Agent อย่าง Benzoyl Peroxide, Tretinoin (Retin-A, Renova) Tazarotene (Tazorac) และ Adapalene (Differin)

อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าการ Exfoliate ผิวจะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น (เนื่องจากชั้นขี้ไคลที่เคยช่วยกันแดดให้มันถูกลอกออกไป) การปกป้องผิวด้วย Sunscreen (ครีมกันแดด) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (แต่ถึงไม่ได้ Exfoliate ผิวก็ต้องทา Sunscreen เป็นประจำทุกวันอยู่ดี)

การ Exfoliate ผิวโดยไม่ใช้ Sunscreen ในตอนกลางวันจะเปิดโอกาสให้ผิวของคุณถูกทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายกว่าปกติ

Sunscreen ที่เลือกใช้ควรมีค่า SPF15 ขึ้นไป (SPF 30 กำลังดีสำหรับแดดแรง ๆ ในประเทศไทย) ที่สำคัญควรเลือกชนิดที่สามารถกันรังสี UVA ได้ด้วย โดยดูใน Ingredients List ว่ามีส่วนผสมของ Zinc Oxide, Titanium Dioxide, Avobenzone (หรือใช้ชื่อว่า Parsol 1789, Butyl Methoxydibenzoylmethane,BMDM, Eusolex 9020, Escalol 517) Mexoryl SX (หรือใช้ชื่อว่า Ecamsule, Terephthalylidene dicamphor sulfonic acid), TINOSORB® M (Methylene Bis-Benzotriazolyl etramethylbutylphenol) หรือ TINOSORB® S (Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine) อยู่เป็น Active Ingredients หรือเป็นลำดับต้น ๆ ของส่วนผสมรึเปล่า

ข้อมูลทั้งหมดจากที่นี่ค่ะ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pupesosweet&month=10-2008&date=01&group=6&gblog=12