ๆHoNgTe_RKVP24 May 105Discussion (5)SEND ืN.E.S.15 yr.AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า alpha hydroxy acid หมายถึงสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็น กรด เป็นสารที่สกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์ ปัจจุบันเอเอชเอหรือกรดผลไม้ นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นการโฆษณาว่าช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อน วัย BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) จากพริก ที่มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน ที่นิยมนำมาทำยาหม่อง ความจริงบีเอชเอไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสารที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนังมานานกว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยเป็นสารที่ใช้ผสมในยารักษาหูด ส้นเท้าแตก โรคผิวหนังชนิดอักเสบเรื้อรัง คนที่มีฝ่ามือฝ่าเท้าหนา มาก ซึ่งบีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่าเอเอชเอ แต่ก็จะทำให้ผิวหน้าระคาย-เคือง ลอกเป็นขุย แดง แสบและคันได้ง่าย จึงต้องใช้ในความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ๐.๕-๑ เปอร์เซ็นต์ หากใช้ในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับในเครื่องสำอางให้มีความเข้มข้นได้ไม่เกิน ๓ เปอร์เซ็นต์ ผล ข้างเคียงของบีเอชเอ บีเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผล เสียต่อผิวหนัง ไม่ต่างจากการใช้เอเอชเอ นั่นคือ การระคายเคือง ลอก แดง ทำให้ผิวบางลงและไวต่อ แสงแดด ซึ่งอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงด้วย อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น จะเห็นว่าเอเอชเอและบีเอชเอต่างก็มีข้อดี และข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งหากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกต้อง ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องสำอางใน บ้านเรามักไม่ค่อยบอกว่า มีส่วนผสมอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะมีความเสี่ยง ถ้าหากว่าเครื่องสำอางที่ใช้มี เอเอชเอและบีเอชเอในปริมาณสูงเกินไป ส่วน PHA บ่รู้เน้ออออออ... REPLY จิวครับ15 yr.ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ REPLY
ืN.E.S.15 yr.AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า alpha hydroxy acid หมายถึงสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็น กรด เป็นสารที่สกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์ ปัจจุบันเอเอชเอหรือกรดผลไม้ นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นการโฆษณาว่าช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อน วัย BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) จากพริก ที่มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน ที่นิยมนำมาทำยาหม่อง ความจริงบีเอชเอไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสารที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนังมานานกว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยเป็นสารที่ใช้ผสมในยารักษาหูด ส้นเท้าแตก โรคผิวหนังชนิดอักเสบเรื้อรัง คนที่มีฝ่ามือฝ่าเท้าหนา มาก ซึ่งบีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่าเอเอชเอ แต่ก็จะทำให้ผิวหน้าระคาย-เคือง ลอกเป็นขุย แดง แสบและคันได้ง่าย จึงต้องใช้ในความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ๐.๕-๑ เปอร์เซ็นต์ หากใช้ในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับในเครื่องสำอางให้มีความเข้มข้นได้ไม่เกิน ๓ เปอร์เซ็นต์ ผล ข้างเคียงของบีเอชเอ บีเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผล เสียต่อผิวหนัง ไม่ต่างจากการใช้เอเอชเอ นั่นคือ การระคายเคือง ลอก แดง ทำให้ผิวบางลงและไวต่อ แสงแดด ซึ่งอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงด้วย อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น จะเห็นว่าเอเอชเอและบีเอชเอต่างก็มีข้อดี และข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งหากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกต้อง ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องสำอางใน บ้านเรามักไม่ค่อยบอกว่า มีส่วนผสมอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะมีความเสี่ยง ถ้าหากว่าเครื่องสำอางที่ใช้มี เอเอชเอและบีเอชเอในปริมาณสูงเกินไป ส่วน PHA บ่รู้เน้ออออออ... REPLY
ปัจจุบันเอเอชเอหรือกรดผลไม้ นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นการโฆษณาว่าช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อน วัย
BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) จากพริก ที่มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน ที่นิยมนำมาทำยาหม่อง
ความจริงบีเอชเอไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสารที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนังมานานกว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยเป็นสารที่ใช้ผสมในยารักษาหูด ส้นเท้าแตก โรคผิวหนังชนิดอักเสบเรื้อรัง คนที่มีฝ่ามือฝ่าเท้าหนา มาก ซึ่งบีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่าเอเอชเอ แต่ก็จะทำให้ผิวหน้าระคาย-เคือง ลอกเป็นขุย แดง แสบและคันได้ง่าย จึงต้องใช้ในความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ๐.๕-๑ เปอร์เซ็นต์ หากใช้ในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับในเครื่องสำอางให้มีความเข้มข้นได้ไม่เกิน ๓ เปอร์เซ็นต์
ผล ข้างเคียงของบีเอชเอ
บีเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผล เสียต่อผิวหนัง ไม่ต่างจากการใช้เอเอชเอ นั่นคือ การระคายเคือง ลอก แดง ทำให้ผิวบางลงและไวต่อ แสงแดด ซึ่งอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงด้วย อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
จะเห็นว่าเอเอชเอและบีเอชเอต่างก็มีข้อดี และข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งหากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกต้อง ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของความสวยงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องสำอางใน บ้านเรามักไม่ค่อยบอกว่า มีส่วนผสมอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคก็จะมีความเสี่ยง ถ้าหากว่าเครื่องสำอางที่ใช้มี เอเอชเอและบีเอชเอในปริมาณสูงเกินไป
ส่วน PHA บ่รู้เน้ออออออ...