นอกเรื่อง อ่านแล้วจะรักไนหลวงมากกว่าเดิม ^__^

 เครดิตจากhttp://www.dek-d.com/board/view.php?id=1880176
อันนี้ไม่ทราบว่าเคยอ่านกันรึยัง เอมอ่านเเล้วชอบมากๆค่ะ รักในหลวงมากค่ะ


เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"


===============================================

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด

แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" 

แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ

เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน



อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน

เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า 
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

"มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
 ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" 


เรื่องนี้ ดร.สุเมธ เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่เว้นแม้แต่ในหลวง



เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น

เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต
นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ

ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"



เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง
ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน

และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้า
ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า...
  พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน..." 


เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล
อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

"เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้



มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า...

"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"

ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า...

"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"



เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว

แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า... "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"

ในหลวงทรงตรัสว่า... "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"



วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมา
ตามลาดพระบาทที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง

แล้วก็พูดว่า... ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
แล้วก็พูดว่า... ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ 

อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร

แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่

แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า...

"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"



ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า... "เอ้อ... ทรง... อ้า... ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" 

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า... "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" 

แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป



เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง

ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
นางสนองพระโอฐก็ งง...งง

ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า... คนที่แบงค์น่ะ

ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์
แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ... ขนลุกเลย



เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร

อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า
มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว

ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"


และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป

พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท  ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก  ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"

===============================================

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด

แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" 

แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ

เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน



อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน

เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า 
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

"มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
 ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" 


เรื่องนี้ ดร.สุเมธ เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่เว้นแม้แต่ในหลวง



เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น

เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต
นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ

ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"



เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง
ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน

และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้า
ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า...
  พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน..." 


เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล
อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

"เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้



มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า...

"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"

ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า...

"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"



เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว

แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า... "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"

ในหลวงทรงตรัสว่า... "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"



วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมา
ตามลาดพระบาทที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง

แล้วก็พูดว่า... ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
แล้วก็พูดว่า... ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ 

อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร

แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่

แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า...

"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"



ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า... "เอ้อ... ทรง... อ้า... ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" 

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า... "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" 

แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป



เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง

ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
นางสนองพระโอฐก็ งง...งง

ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า... คนที่แบงค์น่ะ

ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์
แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ... ขนลุกเลย



เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร

อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า
มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว

ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"


และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป

พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท  ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก  ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

 

Discussion (9)

อ่านกี่ทีก็ยิ้มค่ะ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ขอบคุณที่หามาให้อ่านค่ะ

เรื่องเล่าน่ารักมาก

อ่านกี่ครั้งๆ ก้อหัวเราะค่ะ

อ่านไป ยิ้มไป ^^