The celebrity apologies of 2017

..

Discussion (11)

จบไม่สวยเลย 

ไม่รู้ว่า Mayim เคยอ่านข่าวคุณยายวัย 70 ถูกล่วงละเมิดบ้างมั้ย มันเปิดขึ้นได้แม้จะไม่แต่งตัวล่อแหลม 

หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเธอเขียนตอบโต้กรณีไวน์สตีน แต่ก็อย่างพี่แคนดี้ว่า ขนาดลูปิต้าสวยมีสมองก็ยังโดน 


ขุดหลุมฝังตัวเองเลยค่ะ


เมื่อก่อนนั้น  มันเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับเราที่ได้รู้ว่า Mayim คือนักสิทยาศาสตร์ตัวจริงเหมือนกับบทใน Big Bang Theory   แต่พอเราได้ติดตามดราม่าของ Lena Dunham ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น white feminist บ่อยๆ  เราเริ่มจะตงิดใจกับคำพสัมภาษณ์ของเธอ  การเน้นย้ำว่าเธอดูแตกต่าง เป็นตัวของตัวเอง ไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์หรือต้องทำศัลยกรรมให้สวยเป๊ะเหมือนกับดาวฮอลลีวู้ดคนอื่น ทำให้เรานึกถึงคำว่า humble brag หรือการยกตัวข่มแบบเนียนๆ  จริงอยู่ที่เราไม่ต้องการให้สังคมตีค่าตีราคาผู้หญิงจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอก  แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของพวกเธอที่จะแสดงออกตามที่ต้องการ  เราไม่เคยเห็นว่าผู้ชายที่ดูแลตัวเองให้หล่อเหลาจะถูกเสียดสีว่าเป็นพวกพลาสติก ( Mayim บอกว่า มีแต่สาวสวยเอ๊าะทำตาแป๋วพูดเสียงสูงเท่านั้นที่ถูกอกถูกใจชายทรงอิทธิพลแล้วได้รับเลือก)    ซึ่งบทความของเธอนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ามีแต่คนสวยงามหุ่นเป๊ะที่ไม่ได้คิดอย่างมี "ไหวพริบ" รู้เท่าทันผู้ชายที่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับบรรดาป๋าลามกแห่งฮอลลีวู้ด


HELLO!  ลูปิต้า ญองอ เคยถูกฮาร์วีย์ ไวน์สตีนล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายที่บ้านของเขาเองโดยใช้ลูกตัวเองเป็นตัวหลอกว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพังและกดดันให้เธอมีอะไรด้วยเหมือนกับเหยือรายอื่นๆ    และถ้ามันจะช่วยให้ชัดเจนขึ้น ลูปิต้าจบเยล พูดได้หลายภาษา และเป็นนักเคลื่อนไหวช่วยเหลือช้างในแฟอริกา รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในอูกันด้า  เธอเป็นนางเอกที่หวงความเป็นส่วนตัวและลงมือทำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจัง เธอสวย รูปร่างดี ฉลาด   หรือสำหรับ Mayim แล้วนี่คือหญิงงามไม่มีไหวพริบเอาตัวรอดจากปากเหยือปากกางั้นเหรอ ??  




"เธอกำลังเอาปัญหาร้ายแรงอย่างการล่วงละเมิดทางเพศมาเบี่ยงเป็นประเด็นของตัวเองว่าเพราะหน้่าตาไม่ดีก็เลยรอดมาได้"  ชาวเน็ทบางคนจิกกัด   สิ่งที่ Mayim พูดออกมา ทำให้เรานึกถึงตอน Lena Dunham ออกมาแฉว่ามีนัักฟุตบอลผิวดำรูปหล่อทำท่าท่าไม่แยแสใส่เพราะเจ้าตัวเป็นผู้หญิงที่เลือกจะใส่สูทเดินพรมแดง Met Gala 
 คำ

หลังจากที่ถูกวิจารณ์อ่วม Mayim ก็ออกมาโต้ว่า มีแต่กลุ่มคนที่มองโลกในแง่ร้ายคิดว่าเธอกล่าวโทษเหยื่อ บลาๆๆ และอ้างว่าเป็นการตีความอย่างผิดๆ แต่ชาวเน็ทก็ยังส่ายหัวกับคำอธิบายนี้  เพราะมันเป็นบทความที่เธอเขียนกับมือ ไม่ได้ถูกสื่อสัมภาษณ์แล้วถอดคำพูดออกมาเป็นตัวอักษร  แล้วมันจะเป็นการเบี่ยงเบนคำพูดของเธอได้อย่างไร ?

และสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องเรียงร้อยถ้อยคำเป็นจดหมายขอโทษยาวเหยียด

ชั้นอยากจะชี้แจงเรื่องบทความใน NY TIMES และกระแสตอบรับเรื่องนี้ ขอโอกาสให้ชั้นประกาศให้เคลียร์ชัดเจนตรงนี้เลยนะคะว่าชั้นเสียใจมากจริงๆ  ไม่ว่าคุณจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนหรือแสดงออกอย่างไร ก็ไม่ใช่สิ่งการันตีว่าจะป้องกันการล่วงละเมิดได้  ไม่มีทางที่คุณจะเป็นสาเหตุแห่งการล่วงละเมิด ชั้นชื่อชมความกล้าหาญของผู้หญิงที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราว ชั้นสนับสนุนพวกเธอและต้องการให้มีเพียงคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ต้องมารับผิดชอบการล่วงละเมิดและข่มขืน นั่นก็คือผู้ที่กระทำอาชญากรรมที่เลวร้ายนี้ 

ชั้นมีแรงบันดาลใจตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่พื่อสร้างพลังหญิง

ชั้นเสียใจมากจริงๆที่ได้สร้างความเจ็บปวดให้และหวังว่าพวกคุณจะยกโทษให้"




เอาจริงๆ  ถ้าเจ้าตัวแสดงความขอโทษด้วยแถลงการณ์นี้ตั้งแต่แรกก็คงจบสวยกว่านี้ค่ะ  เพราะตอนแรกเจ้าตัวยังยืนยันว่าผู้คนไม่พอใจกับบทความนั้นมีความคิดร้ายกาจบิดเบือนความหมายที่ได้กล่าวมาให้เป็นเรื่องการกล่าวโทษเหยื่อ  และย้ำว่าตัวเองอุทิศตัวมากมายแค่ไหนให้กับเรื่องสิทธิหญิง   มันยิ่งทำให้ชาวเน็ทยิ่งส่งเสียงกดดันเธอมากขึ้นจนต้องออกมาขอโทษอย่างจริงจัง
อ่านดราม่าเรื่องอื่นๆก้อรู้สึกเฉยๆนะ คิดว่าคนสมัยนี้ sensitive เกินไป แต่อ่านเรื่อง Mayim นี่แอบหัวร้อน เหมือนนาง victim blaming ยังไงก้อไม่รู้
เดี๋ยวนะคะ มุกใช่ป้ะ มีนักแสดงสาวสวยเยอะแยะที่บ่นว่าไม่ได้บทดีๆ เพราะสวยเกินไป แต่แม่คนนี้มาบ่นว่าพวกคนสวยๆ แย่งบทดีๆ ไป นี่มันบ้ามากนะ คนสวยเลิศที่ประสบความสำเร็จมีเยอะแยะ กลับกันดาราสาวที่ไม่ได้สวยมากมายแต่ได้บทดีคว้ารางวัลก็เพียบ เพราะงั้นอย่าโทษหน้าตัวเองเลย เราว่ามันขึ้นกับฝีมือมากกว่า
Mayim อาจจะไม่ถูกถล่มเละขนาดนี้ หากเธอไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นเฟมินิสท์ที่ต้องการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมอย่างออกหน้าออกตา



จากหนังสือของเธอก็น่าจะทราบได้เลยทันที


"ตอนที่เป็นนักแสดงวัยรุ่น ชั้นยึดความหัวโบราณเรื่อยมาตามคำแนะนำของพ่อแม่ที่ไม่ไว้วางใจวงการบันเทิงนัก พวกเค้าคิดว่าวงการนี้จะใช้ชั้นแล้วโยนทิ้งเหมือนกับกระดาษเช็ดขี้มูก  พวกผู้ชายในวงการก็ต้องการเพียงอย่างเดียวแค่นั้นแหละ   แม่ชั้นไม่ยอมให้ชั้นแต่งหน้าและทำเล็บ และชักจูงให้ชั้นเป็นตัวของตัวเองตอนออดิชั่นและชั้นก็เชื่อฟังท่านอย่างการที่ไม่ยอมให้ใครมาเรียกชั้นว่าbabyหรือทำตามคำสั่งให้กอดกับใครกลางกองถ่าย   ชั้นรู้ตัวเองเสมอว่าตัวเองแตกต่างไปจากความเป็นเด็กสาวหรือผู้หญิงฮอลลีวู้ด

ในที่สุดชั้นพออายุ 19 ก็ออกจากวงการนี้ไปเรียนต่อปริญญาเอกในสาขาประสาทวิทยาที่UCL   ชั้นโหยหาอยากจะอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เห็นคุณค่าชั้นที่มันสมองมากกว่าสิ่งที่อยู่ในบรา  หลังจากนั้น12ปีก็กลับเข้ามาในวงการแสดงใหม่ เหตุผลสำคัญคือชั้นไม่มีตังพอจะซื้อประกันสุขภาพและคิดถึงการแสดงที่ทำให้คนได้หัวเราะ 


ด้วยลุคที่ดูแหวกแนว   บทที่ชั้นได้เข้ามาออดิชั่นก็จะเป็นเพื่อนสาวเฉิ่มเชยหรือเลขาอ้วนล่ำ แม้ว่าชั้นจะคว้าบทที่ช่วยให้เข้าชิง Emmy มาสี่ครั้ง  แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจใช่มั้ยที่ชั้นได้แต่บทที่เก้งก้างดูเพศไม่ออกว่าชายหรือหญิง


ชั้นผ่านประสบการณ์ที่ดูสับสนเพราะไม่ได้เป็นสาวสวยเพอร์เฟคท์   ด้วยความภาคภูมิใจในการเป็นเฟมินิสท์และไม่มีความปรารถนาที่จะไดเอท ศัลยกรรม หรือจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว จึงไม่มีผู้ชายนัดชั้นไปเจอที่ห้องในโรงแรม  อย่างเราๆที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่สวยล้ำเกินมาตรฐานความงามจะไม่มีผู้ชายทรงอิทธิพลมาเหลียวแล ถ้าเราไม่ได้สร้างความร่ำรวยให้พวกเขา   ในฐานะที่เป็นนักแสดงหญิงวัย 41 ชั้นเลือกที่จะป้องกันตนเองด้วยไหวพริบ  ถ้าได้อยู่ใกล้กับชาย ชั้นจะแต่งตัวอย่างปกปิดรัดกุม  และชั้นจะยึดกฎไม่ทำเฟลิร์ตใส่ใครทั้งนั้น
 
ถ้าพูดกันแบบโลกสวย  ผู้หญิงควรจะมีอิสระในการแสดงออกเช่นไรก็ได้  แต่โลกความเป้นจริงไม่ได้สวยงามแบบนั้น  ไม่ใกล้เลยสักนิด  เราต้องโทษผู้ชายที่มาล่วงละเมิดและทำร้ายผู้หญิง  แต่เราจะมาจะมาทำใสซื่อในวัฒนธรรมที่เราดำรงชีวิตอยู่ร่วมไม่ได้"